วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ลดน้ำหนัก และกระชับสัดส่วนอย่างไรให้ปลอดภัย

ลดน้ำหนัก และกระชับสัดส่วนอย่างไรให้ปลอดภัย


การใช้ชีวิตของคนเราในปัจจุบันทำให้ไม่มีเวลาออกกำลังกาย อาหารการกินต่างๆก็ไม่มีเวลามาพิถีพิถันมาก ส่งผลให้น้ำหนักส่วนเกินเกิดขึ้นและความอ้วนก็มาเยือนโดยไม่รู้ตัว เมื่อความอ้วนมาเยือนย่อมไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย โรคภัยไข้เจ็บย่อมตามมาด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคุณผู้หญิง ที่มีความรักสวยรักงาม เป็นทุนเดิมอยู่แล้วน้ำหนักส่วนเกิน ย่อมสร้างปัญหาอย่างมาก วิธีการลดน้ำหนักมีหลายวิธี เช่น ออกกำลังกาย การรับประทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อลดน้ำหนัก การอดอาหาร ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็แล้วแต่ควรเลือกให้เหมาะกับตัวเรา และสิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึง คือความปลอดภัย หากเราไม่มีเวลา ในการออกกำลังกาย การอดอาหารอาจทำให้เสียสุขภาพจิต หงุดหงิดไม่มีแรงทำงาน การรับประทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริม เพื่อลดน้ำหนักจึงเป็นทางเลือกที่ดี

ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับอาหารเสริมลดน้ำหนักกันก่อน ที่จะตัดสินใจรับประทาน อาหารเสริมเหล่านี้แบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้คือ

- ประเภทแรก เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการผสมยาลดความอ้วน ที่เป็นอนุพันธ์ของแอมเฟทตามีนคือ Sibutramine มีกลไกการออกฤทธิ์ในการกดสมองในส่วนที่ทำให้อยากอาหาร ทำให้ความอยากอาหารลดลง ไม่ค่อยหิว ออกฤทธิ์ในการลดน้ำหนัก อย่างรวดเร็ว แต่มีข้อเสียคือจะทำให้เกิดอาการหงุดหงิด ถ้ารับประทานเป็นระยะนานๆอาจเกิด อาการประสาทหลอน ทำร้ายตนเองหรือคนอื่นโดยไม่รู้ตัว และถ้าหยุดยาโดยกระทันหัน จะทำให้เกิดอาการที่เรียกกว่า Yoyo effect ซึ่งจะมีน้ำหนักเพิ่มมาก

- ประเภทที่สอง เป็นผลิตภัณฑ์ที่ส่วนประกอบมาจากธรรมชาติ เป็นการลดน้ำหนักแบบค่อยเป็นค่อยไปจะเห็นผลของลดน้ำหนักได้ช้ากว่าการ ใช้ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มแรกก็จริง แต่ปลอดภัยแม้รับประทานต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานๆ ถ้าต้องการหยุดรับประทานก็ไม่เกิดอาการ Yoyo effect โดยทั่วไปผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักมีส่วนประกอบของ สารสกัดจากถั่วขาว สารสกัดจากกระบองเพชร สารสกัดจากพริก สารสกัดจากชาเขียว เป็นต้น

น้ำหนักส่วนเกินเกิดขึ้นเพราะอะไร

เมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไป อาหารจำพวกแป้งจะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาล แล้วนำไปใช้เป็นพลังงานให้แก่ร่างกาย ส่วนน้ำตาลที่เกินจะถูกเปลี่ยนไปไขมัน แล้วไปสะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย อาหารจำพวกไขมันที่ได้รับ เมื่อเหลือจากการนำไปใช้เป็นพลังงานให้กับร่างกายก็จะนำไปเก็บ เป็นไขมันสะสมตามร่างกาย ฉะนั้นเราอย่าเข้าใจกันผิดว่าถ้าไม่รับประทาน อาหารประเภทไขมันแล้วจะไม่อ้วน การกินอาหารประเภทแป้ง และน้ำตาลจำนวนมากๆ ก็ทำให้อ้วนได้เหมือนกัน

สารสกัดจากธรรมชาติที่นำมาเป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักทำงานอย่างไรกันบ้าง

สารสกัดจากถั่วขาว (White kidney bean Extract)
สารสกัดจากถั่วขาวทำหน้าที่ ยับยั้งการทำงานของ เอมไซม์อะไมเลส (amylase)ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่เปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาล หากรับประทานสารสกัดจากถั่วขาวนี้ได้ถึงปริมาณที่ออกฤทธิ์ได้เต็มที่ จะมีประสิทธิภาพ ยับยั้งการเปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาลได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ หมายความว่าถ้าเรารับประทานอาหาร ประเภทแป้ง (คาร์โบไฮเดรต) เข้าไป 1 จาน ร่างกายจะสามารถเปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาลได้เพียงครึ่งเดียว โอกาสที่จะมีน้ำตาลเหลือจากการให้พลังงานกับร่างกายก็น้อยลง การไปเก็บสะสมเป็นไขมันก็น้อยลงด้วย หากน้ำตาลที่ถูกเปลี่ยนนั้น ไม่เพียงพอกับการให้พลังงานกับร่างกายๆก็จะไปดึงไขมัน ที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกายออกมาใช้แทน ทำให้ไขมันส่วนเกินลดลง น้ำหนักก็จะลด สัดส่วนก็จะดีขึ้น ส่วนแป้งอีกครึ่งหนึ่งที่ไม่ได้เปลี่ยนเป็นน้ำตาล ก็จะถูกขับถ่ายออกมารูปของเส้นใย (Fiber)

สารสกัดจากกระบองเพชร (Cactus Extract)
สารสกัดจากกระบองเพชร มีคุณสมบัติในการควบคุมความหิว ทำให้เรารับประทานอาหารได้น้อยลงในแต่ละมื้ออาหาร และทำให้รู้สึกหิวช้าลงในมื้อต่อไป

สารสกัดจากพริก (Chilli Extract)
สารสกัดจากพริกให้สาร L-Leucine, L-Isoleucine และ L-Valine ที่มีคุณสมบัติ ช่วยขบวนการเร่งการสลายไขมัน เป็นพลังงานเกิดการเผาผลาญพลังงานเร็วขึ้น

นอกจากสารสกัดเหล่านี้แล้วผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก อาจมีสารต่างๆที่เสริมเข้าไปเพื่อ เพิ่มประสิทธิภาพในการลดน้ำหนักอีก เช่น

คาร์นิทีน (L-Carnitine) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่ง ที่ร่างกายใช้ในการเร่งการเผาผลาญไขมัน ที่สะสมในเซลล์ทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมัน ได้เร็วขึ้นไขมันที่สะสมในอวัยวะต่างๆก็น้อยลง

วิตามินอี (Mixed Tocopherol) มีคุณสมบัติดึงน้ำออกจากเซลล์ร่างกาย ช่วยลดอาการบวมน้ำทำให้น้ำหนักลดลงโดยผิวยังกระชับเต่งตึง

ทั้งนี้และทั้งนั้นการใช้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมลดน้ำหนัก จะได้ผลดีขึ้น เราควรออกกำลังกาย และควบคุมอาหารประเภทแป้ง รวมทั้งอาหารประเภทไขมันด้วย เพื่อเป็นการลดระยะเวลา ในการลดน้ำหนักและเพื่อสร้างนิสัยในการรับประทาน จะได้ไม่กลับมามีน้ำหนักส่วนเกินอีก

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อผิวสวยกระจ่างใส

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อผิวสวยกระจ่างใส แนวคิดสำหรับผู้หญิงยุคใหม่


ผิวสวยเป็นเรื่องที่ผู้หญิงทั่วโลกต่างให้ ความสำคัญนับแต่โบราณกาลมนุษย์พยายามคิดค้น เสาะหาวิธีดูแลผิวต่าง ๆ นานาแตกต่างกันตามความเชื่อและวัฒนธรรม และดูเหมือนว่าใน ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เทคโนโลยีจะมีบทบาทสูงยิ่งกว่ายุคสมัยใด ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ และวิทยาการสมัยใหม่ที่ช่วยชะลอความเสื่อม กระทั่งผลิตภัณฑ์เสริมสร้างความงามให้กับผิวมากมาย อาทิ เช่น เครื่องสำอาง สบู่ชะล้าง ครีมบำรุงผิวต่างๆ ซึ่งแตกต่างกันออกไป เพราะว่าการแพทย์ สมัยใหม่สำหรับผิวหนังโดยเฉพาะมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว มีการคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ สำหรับบำบัดรักษาผิว จนดูเหมือนว่ามนุษย์สามารถควบคุมและกำหนดความเป็นไปของผิวได้โดยไร้ขีดจำกัด

การดูแลผิวจากภายนอกและภายในแตกต่างกันอย่างไร?
การดูแลผิวจากภายนอก หมายถึง การบำรุงผิวโดยตรง ซึ่งกระทำลงบนผิวภายนอกร่างกาย เพื่อให้ผลในการบำรุงปกป้อง แก้ไขและรักษาปัญหาผิวพรรณ เพื่อให้ผิวสวยอย่างที่ต้องการ การดูแลภายนอกได้แก่ การล้างหน้า การใช้เครื่องสำอางค์บำรุงผิว เช่น ครีม เซรั่ม โลชั่น ฯลฯ การใช้ครีมหรือยากันแดด การอาบน้ำแร่แช่น้ำนม การขัดผิว อบผิว อบโอโซน การลอกหน้าผลัดเซลล์ผิว พอกหน้า นวดหน้า การทำทรีตเม้นต์ และเลเซอร์ เป็นต้น

ส่วนการดูแลผิวจากภายใน หมายถึง การส่งเสริมให้ผิวมีสุขภาพดี โดยการบำรุง โครงสร้างและเซลล์ให้แข็งแรง เพื่อให้ผิวกระฉับกระเฉง และคงความเป็นหนุ่มสาวได้นาน เท่านาน ผิวที่แข็งแรงโดยธรรมชาติ จะสะท้อนออกมาเป็นความสวยงามเปล่งปลั่งที่เห็นได้จากภายนอก วิธีการดูแลผิวจากภายใน ได้แก่ การดูแลในเรื่องของการออกกำลังกาย การพักผ่อนนอนหลับ การจัดการกับความเครียดและการรู้จักเลือกรับประทาน อาหารที่ให้ ประโยชน์ต่อเซลล์ผิวพรรณอย่างครบถ้วนและพอเหมาะ เป็นต้น

แต่เนื่องจากการดำเนินชีวิตในปัจจุบันทำให้การดูแลรักษาผิวจากภายในได้ถูกละเลยไป ดังนั้นอีกหนทางหนึ่งในการบำรุงผิวที่สามารถได้คือ การรับประทานอาหารเสริมที่มีส่วนประกอบของสารสกัดธรรมชาติหลากหลายชนิด ในปริมาณที่มากพอที่จะส่งผลป้องกันปัญหาผิวพรรณด่างดำ และสามารถบำรุงผิวพรรณให้มีความเปล่งปลั่ง มีความชุ่มชื้น แลดูมีน้ำมีนวลอยู่ตลอดเวลา

คุณลักษณะของสารอาหารที่เป็นส่วนประกอบหลัก
สารสกัดจากถั่วเหลือง (Isolated soy protein)
สารสกัดจากถั่วเหลือง ให้สารที่เรียกว่า ไอโซฟลาโวน (Isoflavone) ซึ่งมีสูตรโครงสร้างเหมือนกับ ฮอร์โมนเพศหญิงจึงเรียกว่า ไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogen)

ไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogen) จากถั่วเหลืองทำหน้าที่เลียนแบบฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ที่มีตามธรรมชาติของร่างกาย ช่วยในการปรับสมดุล ฟื้นฟูสุขภาพผิวพรรณให้ดูชุ่มชื้น สดใส เปล่งปลั่ง ผิวพรรณมีชีวิตชีวาขึ้นมา เปรียบเสมือนการได้รับฮอร์โมนเพศหญิงจากข้างนอก แต่มีความปลอดภัยสูง รับประทานได้ตลอดไป

คอลลาเจน ไฮโดรไลเสท (Collagen Hydrolysate)
คอลลาเจนจัดเป็นหนึ่งในเส้นใยที่มีคุณภาพสูงเป็นองค์ประกอบสำคัญของเนื้อเยื่อผิวหนัง 3 ใน 4 ส่วนของโครงสร้างผิวหน้าคือคอลลาเจน คอลลาเจนมีอยู่ทั่วไปในร่างกาย โดยมีประมาณ 6 เปอร์เซ็นต์ ของน้ำหนักตัว หรือประมาณ 1 ใน 3 ของโปรตีนของร่างกายทั้งหมด

ร่างกายจะลดการสร้างคอลลาเจน( Collagen) ลงตั้งแต่อายุ 25-30 ปี โดยปริมาณจะลดลงร้อยละ 1 ในทุก ๆ ปี ซึ่งเกิดขึ้นชัดเจนในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย จึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิงวัย 25 ปีขึ้นไป ที่จะต้องได้รับคอลลาเจน (collagen) เสริมจากภายนอก ในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อผิวสวยกระจ่างใสเพื่อช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสามารถสังเคราะห์คอลลาเจน (collagen) ได้เป็นปกติ

การเสริมสร้างคอลลาเจนด้วยการรับประทาน
มีการนำสารสกัดโปรตีนจากปลาทะเลน้ำลึก ซึ่งมีโครงสร้างโมเลกุลคล้ายกับโครงสร้าง ของคอลลาเจนของผิวคน โดยวิธีการ Enzymatic Hydrolysis มาทำเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แล้วพบว่าภายหลังการรับประทานไประยะหนึ่ง จะสามารถช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน และช่วยให้ริ้วรอยต่าง ๆ จางหาย การนำสารสกัดโปรตีนคอลลาเจน เข้าสู่ร่างกายเพื่อผลในการบำรุงผิว และลดริ้วรอยนั้น ปกติทำได้ 2 วิธีคือ โดยการรับประทานในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือ โดนการฉีดเข้าใต้ผิวหนังชั้นหนังแท้ วิธีการรับประทานจึงเป็นวิธีการที่สะดวกกว่า ผลที่ได้รับจากการบริโภคคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง จะช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ลดริ้วรอยเหี่ยวย่นของผิวหนังอย่างได้ผล และทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น นุ่มเนียนขึ้น

กลูตาไธโอน (L-Glutathione)
กลูตาไธโอนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ตัวหนึ่งที่ร่างกายสังเคราะห์ได้เองเรียกว่า Universal Antioxidant เพิ่มประสิทธิภาพเมื่อมีการทำงานร่วมกับวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ตัวอื่นเช่นสารสกัดจากเมล็ดองุ่น (Grape Seed) จะทำให้การผลิตเม็ดสีในชั้นผิวหนังน้อยลงทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น

มารู้จักกลไกการสร้างเม็ดสี (Melanin) ของร่างกายกันเถอะ!
การได้รับ L-Glutathione เสริมเข้าไปเป็นประจำ จะเข้าไปยับยั้งการทำงานของ Tyrosinase (ซึ่งถูกยับยั้งจากการสร้าง L-Glutathione) ทำให้ Tyrosine ไม่สามารถเปลี่ยนไป Dopa ซึ่งจะเปลี่ยนต่อไปเป็น Eumelanin ซึ่งเป็นเม็ดสีสีดำ ทำให้เมื่อเกิดการผลัดผิว Tyrosine จะเปลี่ยนไปสังเคราะห์ Pheomelanin ซึ่งเป็นเม็ดสีที่ไม่มีสีแทน ส่งผลให้สีผิวจะค่อยๆ จางลง

สารสกัดจากเปลือกสนฝรั่งเศส (French Maritime Pine Bark Extract)
จากผลการศึกษาในการเป็น Super�Antioxidant ของสารสกัดเปลือกสนฝรั่งเศสว่าสามารถป้องกันการสร้างเม็ดสีสีดำ (Eumelanin) และป้องกันการเกิดฝ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อได้รับร่วมกันกับสารสกัดจากเมล็ดองุ่น (Grape Seed) ซึ่งสารสกัดจากเมล็ดองุ่นมีคุณประโยชน์ในการป้องกัน รอยเหี่ยวย่นที่จะเกิดขึ้นก่อนวัยได้อย่างดี (Anti-aging)

ไลโคพีน (Lycopene Power)
เป็นสารสกัดจากมะเขือเทศ ไลโคพีน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีที่สุด ในบรรดา แคโรทีนนอยด์ทั้งหมด มีคุณสมบัติในการช่วยปกป้องผิวหน้าจากรังสี UV ทำให้ผิวไม่ถูกทำลายโดยแสงแดด ทำให้ผิวหน้ายังคงสภาพชุ่มชื้นมีชีวิตชีวา

สังกะสี (Zinc)
สังกะสีมีอยู่ทั่วร่างกายคือมีประมาณ1.5-2.5 mg. กระจายอยู่ทั่วไปในอวัยวะต่างๆ สังกะสีมีความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อให้เอนไซม์ (Enzyme) กว่า70ตัวทำงานได้อย่างเหมาะสมในกิจกรรมหลากหลายประเภท หน้าที่ที่สำคัญของสังกะสีคือจะช่วยสมานรอยแตกย่นของผิวทำให้ผิวเนียนมากยิ่งขึ้น ผิวจะดูสดใสมีชีวิตชีวา

โคเอนไซม์คิวเทน(Co-enzyme Q10), วิตามินซี (Vitamin C) และวิตามินอี (Vitamin E)
สารอาหารทั้ง 3 ชนิดนี้เป็นสารที่เอนไซม์ (Enzyme) ต่างๆในร่างกายของเรา ต้องการใช้ร่วมกันในการทำปฏิกิริยาในเซลล์ในการผลิตพลังงาน สารอาหารทั้งสามชนิดนี้จะทำงานร่วมกันซึ่งทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูง ในการใช้ป้องกันการแก่ก่อนวัยไม่ก่อให้เกิดรอยเหี่ยวย่น ก่อนวัยอันควร

จุดเด่นคุณประโยชน์ของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ดีเพื่อผิวสวยกระจ่างใส
1. ปริมาณสารสำคัญมากกว่าผลิตภัณฑ์อื่นๆทั้งปริมาณสารและจำนวนสารสำคัญ
2. ช่วยให้ผิวสวยกระจ่างใส
3. ช่วยให้ผิวกระชับเต่งตึงชุ่มชื่นมีชีวิตชีวา
4. ลดการผลิตเม็ดสีในชั้นผิวให้น้อยลงทำให้ผิวขาวใสขึ้น
5. ป้องกันรอยเหี่ยวย่นที่เกิดขึ้นก่อนวัย
6. ป้องกันการเกิดฝ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7. เสริมสร้างความเป็นหนุ่มสาว
8. ป้องกันการแก่ก่อนวัย
9. เพิ่มระบบภูมิคุ้มกันของผิวพรรณให้แข็งแรงแผลหายเร็วขึ้น
10. ปลอดภัยสูงเพราะใช้สารสกัดจากธรรมชาติ

วิธีรับประทานเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด รับประทานวันละ 1-2 เม็ด ก่อนนอน

คอลลาเจน

มาลดริ้วรอยให้ผิวเพื่อผิวพรรณเนียนสวยอ่อนเยาว์ด้วยคอลลาเจนกันเถอะ


คอลลาเจนมีความสำคัญกับผิวพรรณของเราคือเป็นส่วนประกอบในชั้นหนังกำพร้า และชั้นหนังแท้โดยเฉพาะผิวหนังบนใบหน้าจะมีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบมากที่สุด มีบทบาทสำคัญในการหนุนและค้ำจุนผิวหนังเอาไว้เปรียบเหมือนกับนุ่นที่นำมายัดหมอน จึงทำให้ผิวพรรณเต่งตึง มีความยืดหยุ่นดี นอกจากนี้ยังควบคุมความชุ่มชื้นเพราะคอลลาเจนมีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำให้กับผิวหนัง โดยปกติแล้วการสร้างและการทำลายของคอลลาเจนจะเกิดขึ้นเท่าๆกันผิวหนังของเราจึงเต่งตึง แต่จะเริ่มมีปัญหาเมื่ออายุตั้งแต่อายุ 25-30ปีการสร้างคอลลาเจนจะเริ่มน้อยลงกว่าการทำลาย ผิวพรรณจึงเริ่มทรุดตัวลงเกิดริ้วรอยขึ้น

ในปัจจุบันสภาวะที่มีการกระตุ้นให้เกิดการทำลายคอลลาเจนเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติหลายๆอย่าง เช่น อนุมูลอิสระจากแสงแดด มลพิษต่างๆเช่นควันจากท่อไอเสีย ควันบุหรี่ สารปนเปื้อนในอาหารที่รับประทานเข้าไปในแต่ละวัน ร่างกายที่พักผ่อนไม่เพียงพอ การยิ้ม การหัวเราะ การขมวดคิ้ว หรือความเครียด ผลที่ตามมาก็คือเกิดริ้วรอยบนใบหน้า และผิวพรรณเกิดขึ้นก่อนถึงวัยอันสมควร

วิธีหนึ่งที่จะทำให้ผิวพรรณกลับคืนสู่ความวัยเยาว์ได้นั้นคือ การเพิ่มปริมาณคอลลาเจนให้กับร่างกายเพื่อให้ร่างกายเกิดความสมดุล ในการสร้างและการทำลายคอลลาเจนและคอลลาเจนที่เกินจากการทำลาย ก็จะไปช่วยทำให้ผิวพรรณเต่งตึงลดริ้วรอยเหี่ยวย่น ชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง

ก่อนที่จะรับคอลลาเจนเข้าสู่ร่างกายเราควรทราบก่อนว่าคอลลาเจนนั้นมีหลายชนิด คือ type I, type II, และ type III โดยที่เฉพาะ type I และ type III เท่านั้นที่มีอยู่ในโครงสร้างของผิวพรรณ ส่วน type II จะเป็นโครงสร้างของเอ็นหรือข้อ ซึ่งเหมาะกับการใช้สำหรับรักษาความผิดปกติเกี่ยวกับข้อ ดังนั้นหากเราต้องการใช้คอลลาเจน เพื่อประโยชน์ในการลดริ้วรอยหรือปัญหาผิวพรรณ ควรใช้ type I และ type III เท่านั้นจะสามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงของผิวพรรณที่ดีขึ้นในระยะสั้นและ ควรใช้คอลลาเจนในรูปแบบไฮโดรไลเสท( Hydrolysate) ซึ่งเป็นชนิดคอลลาเจนชนิดที่มีอนุภาค (Molecule) ขนาดเล็กสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้รวดเร็วเห็นผลเร็ว แหล่งที่มาของคอลลาเจนมีมาจากหลายแหล่งเช่น ธรรมชาติ ( หมู วัว ปลาทะเล ) และจากการสังเคราะห์ ซึ่งการที่เรารับสารใดๆ ก็ตามที่เกิดจากธรรมชาติจะปลอดภัยมากกว่าถึงแม้ว่าบางกรณีเกิดแพ้ ก็จะน้อยที่เราได้รับสารที่มาจากการสังเคราะห์และจากการศึกษาวิจัยพบว่า คอลลาเจนที่มีแหล่งกำเนิดมาจากปลาทะเลน้ำลึกจะเป็นชนิดที่ดีมีคุณภาพที่สุด

รับคอลลาเจนเข้าร่างกายทางไหนดีนะ

การเพิ่มคอลลาเจนให้กับร่างกายก็ทำได้หลายทาง เช่น การรับประทาน การฉีดเข้าทางผิวหนังที่ต้องการโดยตรง การทาเวชสำอางค์ที่มีส่วนผสมของคอลลาเจน ในการรับประทานคอลลาเจนที่อยู่ในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นวิธีการที่สะดวก ไม่ต้องเสี่ยงต่อการเจ็บตัวและปลอดภัยกว่าการฉีดหรือการทาถ้าเกิดอาการแพ้ เมื่อเราหยุดรับประทานผลิตภัณฑ์อาการแพ้ก็จะหายไปเองในขณะที่การฉีดเข้าไปนั้น การดูดซึมเร็วก็จริงแต่ถ้าเกิดอาการแพ้จะเกิดขึ้นได้เร็วแต่แก้ไขได้ยากและส่วนใหญ่ คอลลาเจนที่นำมาฉีดจะเป็นชนิดที่สังเคราะห์ขึ้นมา ส่วนการทาที่ผิวหน้าหรือ ผิวหนังก็ต้องมีการสัมผัสกับผิวโดยตรงและมีการดูดซึมได้น้อย

คอลลาเจนในรูปแบบรับประทานมีทั้งแบบเม็ด น้ำ ผงชง รูปแบบที่เป็นเม็ดมีมากมายอยู่ในท้องตลาดแต่การใส่ส่วนประกอบ ที่มากเพียงพอกับการเสริมสร้างคอลลาเจนเท่าที่ร่างกายต้องการนั้น บางทีไม่สามารถทำออกมาอยู่ในรูปแบบเม็ดได้ ส่วนรูปแบบน้ำนั้นเพื่อป้องกันการหมดอายุมักจะใส่สารกันบูด เพื่อยืดอายุผลิตภัณฑ์การดื่มในระยะนานอาจทำให้เกิดอันตราย ได้จากสารกันบูด ส่วนคอลลาเจนในรูปผงชงที่สามารถนำไปผสมกับเครื่องดื่มเช่น น้ำผลไม้ นมสด หรือแม้กระทั่งน้ำดื่มธรรมดา ในการทำคอลลาเจนออกมาในรูปผงชงนั้นมักมีส่วนประกอบหรือ ปริมาณของคอลลาเจนในปริมาณมากเพื่อให้เพียงพอกับปริมาณ คอลลาเจนที่จะไปช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยของผิวพรรณหรือยืดเวลา ให้ผิวพรรณอ่อนเยาว์ไปอีกนานๆ ไม่สามารถจะทำออกมาเป็นรูปแบบเม็ด ได้เพราะจะมีขนาดเม็ดที่ใหญ่มากจนไม่สามารถจะกลืนได้ คอลลาเจนในรูปแบบผงชงจึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับ ผู้ที่กำลังคิดจะรับประทานคอลลาเจนเสริมให้กับร่างกายเพื่อความเต่งตึง อ่อนเยาว์ ชุ่มชื้นของผิวพรรณ

สรุปว่าคอลลาเจนมีประโยชน์อะไรบ้างนะ

การเพิ่มปริมาณคอลลาเจนให้กับร่างกายในวัยที่มากขึ้น ทำให้ร่างกายเรามีผิวพรรณที่เต่งตึง มีน้ำมีนวลอ่อนเยาว์ ชุ่มชื้น ริ้วรอยเหี่ยวย่นให้ตื้นขึ้นและจะค่อยๆจางไปถ้าได้รับต่อเนื่อง

วิธีรับประทาน เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดของผลิตภัณฑ์รับประทานครั้งละ 1 ซองโดยผสมน้ำหรือเครื่องดื่มที่ชื่นชอบ วันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน

วิตามินรวมวันละเม็ดมีคุณค่ามากกว่าที่คุณคิด

วิตามินรวมวันละเม็ดมีคุณค่ามากกว่าที่คุณคิด


โดยปกติแล้วเชื่อกันว่า การกินอาหารครบทุกหมู่ การมีชีวิตกระฉับกระเฉงนั้น คือ หลักการพื้นฐานของการมีสุขภาพดี แต่การใช้ชีวิตประจำวันในปัจจุบันนี้ ในบางเวลาเราต้องการอาหารเป็นพิเศษ ความเครียดหรือโรคภัยไข้เจ็บ จึงทำให้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการชีวิตที่ในสถานการณ์ที่รีบเร่ง การกินอาหารอย่างรีบเร่ง การกินอาหารสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น การฟื้นจากไข้ การวางแผนมีบุตร การกินอาหารมังสวิรัติ หรือภาวะชรา ซึ่งภาวะเหล่านี้ล้วนกดดันให้ร่างกายต้องการสารอาหารเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากเงื่อนไขที่กล่าวมาแล้วยังมีปัจจัยเพิ่มเติมที่คุณอาจไม่เคยคาดคิด เช่น ในอาหารประจำวันที่เรากินอาจมีสารอาหารบางตัวไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย (เช่น กรดโฟลิกและวิตามินดี) ในภาวะเช่นนี้ คงเห็นได้ชัดว่า การกินผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพเป็นประจำจะมีประโยชน์เพียงใด

ขณะที่การกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพอย่างสมดุลและครบหมู่ จะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินและเกลือแร่ครบถ้วนตามที่ร่างกาย ของคนส่วนใหญ่ต้องการ ช่วยรักษาสุขภาพและป้องกันโรคอันเกิดจากการขาดสารอาหารได้

แต่ก็อาจมีคนบางกลุ่มยังจำเป็นต้องได้รับสารอาหารเพิ่มเป็นพิเศษ จึงจะเพียงพอกับความต้องการในบางช่วงเวลาของชีวิต อันได้แก่

- คนที่มีงานยุ่งทั้งวันจนกินอาหารไม่ตรงเวลาและกินของขบเขี้ยวแทนอาหารหลัก ของว่างเหล่านั้นมักมีวิตามิน เกลือแร่ไม่เพียงพอและครบถ้วน
- ผู้ที่กินอาหารมังสวิรัติและผู้ซึ่งควบคุมอาหารเป็นพิเศษมักจะได้รับสารอาหารจำพวกธาตุเหล็กและวิตามินบี12 ไม่เพียงพอ
- สตรีมีครรภ์จำเป็นต้องใช้วิตามินและเกลือแร่บางตัวเป็นพิเศษ
- เมื่อคนเราอายุมากขึ้น ความสามารถในการดูดซึมอาหารจะลดลง นอกจากนี้ผู้สูงวัยมักเคี้ยวอาหารลำบาก กินได้น้อย จึงยากที่จะได้รับสารอาหารเพียงพอต่อความต้องการ
- ผู้ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ผู้ดื่มสุราและสูบบุหรี่อาจมีความจำเป็น ต้องใช้วิตามินและเกลือแร่มากกว่าคนปกติ เมื่อเทียบกับผู้มีอายุและเพศเดียวกัน
ในกรณีที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ การได้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจำนวนพอประมาณอาจเป็นเรื่องเหมาะสม วิตามินและเกลือแร่อาจมีฤทธิ์รักษาโรค ช่วยผู้ป่วยให้ฟื้นจากโรคเร็วขึ้น และบางตัวที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระอาจมีบทบาทในการป้องกันโรค เช่น มะเร็งและโรคหัวใจ

เรามารู้จักวิตามินกันก่อน
นักวิชาการแบ่งวิตามินออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มแรก คือวิตามินที่จำเป็นต้องได้รับเข้าสู่ร่างกายเป็นประจำสม่ำเสมอ เนื่องจากสามารถละลายได้ในน้ำ และสูญเสียจากร่างกาย อย่างรวดเร็วผ่านทางปัสสาวะ วิตามินซีและวิตามินบี จัดว่าเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ส่วนวิตามินที่เหลือได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค ทั้งหมดเป็นวิตามินที่ละลายในไขมันและจัดเป็นวิตามินกลุ่มที่สอง เนื่องจากวิตามินพวกนี้ละลายได้ในไขมันจึงสะสมอยู่ในไขมันของร่างกายได้นาน นับเดือนนับปี

ต่อมาเรามาทำความรู้จักกับเกลือแร่ เกลือแร่เป็นสารอนินทรีย์ที่มีต้นกำเนิดมาจากสิ่งไม่มีชีวิต เช่น หินและสายแร่โลหะ เกลือแร่เหล่านี้จะเข้ามาสู่ห่วงโซ่อาหาร โดยผสมผสานอยู่ในดินที่พืชแทงรากลงไป เราอาจได้รับเกลือแร่เข้าสู่ร่างกายโดยตรง จากการกินพืชหรือทางอ้อมโดยกินสัตว์ที่กินพืชอีกทีหนึ่ง เกลือแร่ก็เป็นสารที่ร่างกายต้องการใช้ในปริมาณไม่มากนัก เช่นเดียวกับวิตามิน แต่ถ้าไม่มีเกลือแร่ร่างกายก็ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ มีเกลือแร่ประมาณ 22 ชนิดที่จำเป็นต่อสุขภาพร่างกาย ยกตัวอย่างเช่น แคลเซียมเพื่อเสริมสร้างกระดูก และฟันที่แข็งแรง และธาตุเหล็กเพื่อช่วยสมองให้มีสมาธิ และช่วยให้ร่างกายมีพลังงานมีชีวิตชีวา

เกลือแร่แบ่งได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ
เกลือแร่หลัก เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม คลอไรด์ โซเดียม กำมะถันและฟอสฟอรัส
เกลือแร่รองหรือเกลือแร่ที่ใช้น้อย เช่น ทองแดง โครเมียม ฟลูออไรด์ ซีลีเนียม และสังกะสี ซึ่งร่างกายต้องการใช้ในปริมาณน้อยมาก

เมื่อเรารู้แล้วว่าวิตามินและเกลือแร่ คืออะไรแล้วเรามาดูว่าวิตามินและเกลือแร่สัมพันธ์กันอย่างไร ทันทีที่เราบริโภควิตามินหรือเกลือแร่เข้าไปในรูปของอาหารหรือเครื่องดื่ม หรือผ่านทางผลิตภัณฑ์อาหารเสริมก็ตาม จะต้องถูกดูดซึมผ่านผนังทางเดินอาหาร เข้าไปสู่กระแสเลือดเพื่อจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในร่างกาย เมื่อวิตามินและเกลือแร่อยู่ร่วมกันก็อาจส่งผลดีต่อการดูดซึมของทั้งสองฝ่าย เช่น เมื่อกินวิตามินซีพร้อมกับอาหารประเภทผักซึ่งมีธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบ จะช่วยให้ธาตุเหล็กถูกดูดซึมได้ดีขึ้นเช่นเดียวกับการกินวิตามินดีพร้อมกับแคลเซียม ในอาหารมื้อเดียวกัน การกินวิตามินบีแต่ละตัวมีประสิทธิภาพขึ้น ขณะที่วิตามินเอ ซีและอี มีส่วนช่วยดูดซึมซีลีเนียมในทางเดินอาหาร

กุญแจสู่ภาวะโภชนาการที่ดี คือการสร้างสมดุล และไม่กินสารอาหารตัวใดตัวหนึ่งมากเกินไปซึ่งจะทำให้เกิดการเสียสมดุลของวิตามินตัวอื่นๆ

เหตุผลที่ต้องใช้ผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ
1. การกินป้องกันโรค ทุกวันนี้คนเราจะคิดถึงเรื่องสุขภาพในแง่การป้องกันมากกว่าการรักษาโรค และในบางครั้งการกินสารอาหารปริมาณที่สูงกว่าที่มีอยู่ในอาหารธรรมชาติอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค ในช่วงท้ายของชีวิตได้ สารอาหารต้านอนุมูลอิสระจำพวกวิตามินซีและอี ซีลีเนียม ได้รับความสนใจเป็นพิเศษในคุณสมบัติข้อนี้
2. การกินอาหารแนวพิเศษ เช่นผู้กินอาหารมังสวิรัติมีโอกาสน้อยมากที่จะได้รับวิตามินและเกลือแร่ ครบทุกชนิดและในปริมาณที่เพียงพอจากอาหารมังสวิรัติ การกินอาหารเสริมอาจเป็นแนวทางจำเป็น เพื่อสร้างสุขภาพที่ดีสำหรับคนกลุ่มนี้ ขณะยังยึดถือแนวปฏิบัติของตนไว้ได้
3. การรักษาโรค หลายคนกลับมาให้ความสำคัญกับสมุนไพรมากขึ้นในการรักษาอาการ ของโรคนอกเหนือจากการใช้ยาแผนปัจจุบันในการรักษาเพียงอย่างเดียว
4. หลักประกันแห่งการมีสุขภาพดี ในกลุ่มคนที่พยายามใช้ชีวิตให้อยู่ในแนวทางสุขภาพ และกินอาหารสมดุลครบห้าหมู่แต่เพื่อความมั่นใจว่าร่างกายจะได้รับวิตามิน และเกลือแร่ที่จำเป็นครบถ้วน ก็อาจใช้ผลิตภัณฑ์เสริมวิตามินและเกลือแร่ตามความเหมาะสม
5. วิถีชีวิตที่วุ่นวายและเคร่งเครียด กิจกรรมในแต่ละวันที่เพิ่มขึ้นในชีวิต คุณภาพอาหารอาจเป็นสิ่งหนึ่งที่เราละเลยไป เนื่องจากร่างกายจำเป็นต้องใช้สารอาหารเพิ่มพิเศษ อันเป็นผลจากความเครียดเช่นนี้แล้วผลิตภัณฑ์เสริมวิตามินและเกลือแร่ จะช่วยเติมส่วนที่ขาดหายไปเนื่องจากการกินอาหารคุณภาพต่ำ
6. ก้าวย่างของชีวิต ความต้องการสารอาหารมีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในแต่ละก้าว ย่างของชีวิต เช่น ในช่วงเวลาก่อนตั้งครรภ์ ระหว่างตั้งครรภ์ และระหว่างเลี้ยงดูลูกด้วยนมมารดา ร่างกายจะต้องใช้วิตามิน เกลือแร่และสารอาหารบางตัวเพิ่มเป็นพิเศษ อีกทั้งเมื่อเข้าสู่วัยชรา การดูดซึมสารอาหารลดลงไปตามกาลเวลาความอยากอาหารก็ลดลงด้วย ส่งผลให้ร่างกายได้รับสารอาหารน้อยลงจนอาจไม่เพียงพอกับความต้องการ
7. การสูบบุหรี่ จะดูดเอาวิตามินซีในร่างกายออกไปอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องได้รับวิตามินซีในอาหารสูงเป็นพิเศษจึงจำเป็นต้องได้กินวิตามินซีก่อนเลิกบุหรี่ รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระจำพวกซีลีเนียมและวิตามินอีอาจจะช่วยป้องกัน ไม่ให้ปอดถูกทำลายซึ่งช่วยได้ทั้งผู้ที่สูบบุหรี่และผู้ที่ได้รับควันบุหรี่จากผู้อื่น

ปัจจุบันนี้มีผลิตภัณฑ์เสริมในท้องตลาดมากมายที่ให้สรรพคุณในการเสริมสุขภาพ มีส่วนประกอบของวิตามินและเกลือแร่หลายชนิดในปริมาณที่แตกต่างกันออกไปดังนี้


Ingredient
(สารประกอบ)
Centxxx Z-Bxx Banxxx Prxxxxx Z-Centrex ค่า Thai RDI*
1. Isolate Soy Protein - - 330.0 mg 330.0 mg
2. Tomato Extract Powder(Lycopene) - - - 0.4958 mg
3. Lecithin - - 85.0 mg -
4. Magnesium 100.0 mg - - 150.0 mg 350.0 mg
5. Phosphorus 125.0 mg - - 119.3 mg 800.0 mg
6. Zinc 15.0 mg 22.5 mg - 15.0 mg 15.0 mg
7. Copper 2.0 mg - - 2.0 mg 2.0 mg
8. Ferrous - - - 4.0 mg
9. Manganese 5.0 mg - - 3.5 mg 3.5 mg
10. Selenium 25.0 mcg - - 0.07 mg 0.07 mg
11. Chromium 25.0 mcg - - 0.025 mg 130.0 mcg
12. Potassium 40.0 mg - - 0.046 mg 3,500.0 mg
13. Iodine 0.15 mg - - 0.15 mg 0.15 mg
14. Calcium 175.0 mg - - - 800.0 mg
15. Iron - - - - 15.0 mg
16. Chlorine 36.0 mg - - - 3,400.0 mg
17. Molybdenum 25.0 mcg - - - 160.0 mcg
18. Nickel 5.0 mcg - - -
19. Tin 10.0 mcg - - -
20. Vanadium 10.0 mcg - - -
21. Silicon 10.0 mcg - - -
22.Soybean oil - - 410 mg -
23. Vitamin A 2000 IU - - 2664 IU 2664 IU
24. Beta-Carotene 3000 IU - - -
25. Vitamin C 90.0 mg 600.0 mg - 60.0 mg 60.0 mg
26. Vitamin E 30 IU 45 IU - 15 IU 15 IU
27. Folic Acid 0.4 mg - - 0.2 mg 200 mcg
28. Vitamin B1 2.25 mg 15.0 mg - 1.5 mg 1.5 mg
29. Vitamin B2 (Riboflavin) 3.2 mg 10.2 mg - 1.7 mg 1.7 mg
30. Vitamin B6 3.0 mg 10.0 mg - 2.0 mg 2.0 mg
31. Vitamin B12 9.0 mcg 6.0 mg - 0.002 mg 0.002 mg
32. Vitamin D 400 IU - - 200 IU 200 IU
33. Niacinamide (Vitamin B3) 40.0 mg - - 20.0 mg 20.0 mg
34. D-Biotine 45.0 mcg - - 0.150 mg 0.150 mg
35. Pantothenic Acid (Vita. B5) 10.0 mg 25.0 mg - 6.0 mg 6.0 mg

จากตารางที่แสดงปริมาณวิตามินและเกลือแร่ต่างๆของอาหารเสริมสุขภาพในจำนวน 4 ผลิตภัณฑ์นี้มี 2 ผลิตภัณฑ์ที่ขึ้นทะเบียนเป็นยารักษาโรคเพราะมีปริมาณวิตามินหรือเกลือแร่เกินปริมาณที่กำหนดไว้ใน RDI จึงจำเป็นที่จะต้องขึ้นทะเบียนเป็นยารักษาโรคเท่านั้น แต่ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมอีกหนึ่งตัว มีปริมาณวิตามินหรือเกลือแร่น้อยกว่าที่กำหนดไว้ใน RDI ในขณะที่ผลิตภัณฑ์วิตามินรวมมีปริมาณวิตามิน และเกลือแร่ส่วนใหญ่เท่ากับที่กำหนดไว้ใน RDI จึงทำให้รับประทานอาหารเสริมวิตามินรวม นี้ได้อย่างมั่นใจว่าได้รับปริมาณวิตามินและเกลือแร่ที่พอเหมาะพอดีในปริมาณที่ไม่มากหรือน้อยเกินไป ที่จะใช้เพื่อทดแทนวิตามินและเกลือแร่ที่ร่างกายต้องการและปลอดภัยต่อร่างกายเมื่อใช้ติดต่อกันไปในระยะเวลานาน

เมื่อกล่าวถึง RDI แล้วมาทำความรู้จักกับ RDI กัน RDI หรือ Reference Dietary Intakes คือปริมาณของสารอาหารที่แนะนำว่าควรได้รับ หรือไม่ควรได้รับเกินเท่าไหร่ในแต่ละวันซึ่งมาจากค่า RDA (Recommended Dietary Allowances), EAR (Estimated Average Requirement), AI(Adequate Intake)และUL(Safe/Tolerable Upper Level) รวมกันแต่ละตัวมีความหมายดังนี้ค่า RDA เป็นปริมาณขั้นต่ำสุดที่แนะนำให้คนทั่วไปกินในแต่ละวันเพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุข กินมากกว่านี้ก็ได้ ถ้าไม่มากเกินไปจริงๆก็ไม่เป็นไรสำหรับผู้ที่กินอาหารเสริม วิตามิน เกลือแร่ฯลฯ อยู่แล้วคิดจะใช้ RDA เป็นแนวทางว่ากินถึงหรือเกิน RDAหรือยัง ถ้าถึงหรือเกิน RDA แล้วจะได้หยุดกิน จึงเป็นการคิดที่ไม่ถูกต้อง เพราะถ้าทำเช่นนั้นอาจได้สารอาหารไม่ถึง RDA ทำให้ขาดสารอาหารนั้นได้ ถ้าเกรงว่าจะกินมากเกินไปต้องไปดูค่า UL แล้วกินอย่าให้เกินค่านี้

ค่า RDA ที่มีอยู่ใช้สำหรับบุคคลทั่วไปที่แข็งแรงดีและดำรงชีวิตตามปกติเท่านั้น ค่านี้ใช้ไม่ได้กับผู้ป่วย คนที่เป็นโรคขาดสารอาหาร หรือคนที่ดำรงชีวิตแตกต่างไปจากคนธรรมดามาก เช่นนักเพาะกายจัดว่าดำรงชีวิตที่แตกต่างไปจากธรรมดามาก ในแง่ของการใช้พลังงานและการใช้งานกล้ามเนื้อดังนั้นค่า RDA สำหรับคนทั่วไปบางค่าเช่นปริมาณพลังงานและโปรตีนที่ต้องการ ในแต่ละวันจึงใช้ไม่ได้กับนักเพาะกายเช่น RDA ของโปรตีนในผู้ชายทั่วไปเท่ากับ 0.6 ก/กก.เท่านั้น แต่ในนักเพาะกายแนะนำกันไว้ที่ 2-3 ก/กก./วัน

วิธีรับประทานเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด รับประทานวันละ 1-2 เม็ด ก่อนนอน

มารู้จัก DHA ในการบำรุงสมองของเด็ก

" มารู้จัก DHA ในการบำรุงสมองของเด็ก และช่วยให้มี IQ และ EQ สูง อีกทั้ง DHAจะช่วยให้เด็กสมาธิสั้น (IDD: Intensive Deficit Disorder) และเด็กซุกซนผิดปกติ (IDHD: Intensive Deficit Hyperactivity Disorder) มีอาการดีขึ้นได้อย่างไร "

ผศ.พญ. กุสุมา ชูศิลป์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น อธิบายความหมายของ DHA (Docosahexaenoic acid) เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว ชนิดสายโซ่ยาว (Long-chain Polyunsaturated Fatty acid) โดย DHA เป็นกรดไขมันสายพันธุ์โอเมก้า 3 ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานของเซลล์สมอง และจอตา ช่วยในการเพิ่มพัฒนาการของสมองและสายตาของทารก และเด็ก

ทั้งนี้สมองของทารก และเด็กจะประกอบไปด้วยไขมัน ร้อยละ 20 และ ร้อยละ 60 ของกรดไขมันเป็น DHA โดย DHA กระจายอยู่ทั่วไปในเซลล์ประสาทของสมองและจอตา

ในระยะเริ่มต้น 4-6 เดือนแรก น้ำย่อยไขมันของทารกยังไม่เพียงพอในการสังเคราะห์กรดไขมันโอเมก้า 3 จึงไม่สามารถเปลี่ยนสารตั้งต้นให้เป็น DHA ได้เพียงพอ ดังนั้นทารกจึงต้องได้รับ DHA จากน้ำนมแม่ ขณะเดียวกันทารกต้องรับสารนี้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์จากอาหารที่แม่รับประทานเข้าไป ฉะนั้นในช่วงที่ตั้งครรภ์ แม่จึงจำเป็นต้องรับประทานอาหารที่มีโอเมก้า 3 ซึ่งโดยปกติแหล่งโอเมก้า 3 ตามธรรมชาติ จะได้จากการรับประทานปลาในปริมาณที่มากเพียงพอ

ผศ.พญ.กุสุมา กล่าวอธิบายเพิ่มเติมว่า สารอาหาร DHA ที่ได้จากน้ำนมแม่นั้น ธรรมชาติจะมีการปรับปริมาณให้เหมาะสม ในแต่ละช่วงวันเวลาอย่างเหมาะสมเพื่อให้เข้าไปปรับสมดุลย์ ระบบภายในร่างกายของลูกได้อย่างทันท่วงที ทำให้เซลล์สมอง และระบบการทำงานต่างๆ ของลูกมีการพัฒนาได้อย่างสมบูรณ์เต็มที่ และที่สำคัญน้ำนมแม่มี DHA แต่แม่ต้องได้รับ DHA เสริมในปริมาณที่เหมาะสมต่อวันด้วย

คำกล่าวที่ว่า " กินปลาเถิดพี่ จะดีที่สมอง กินปลาเถิดน้อง สมองจะดี " ซึ่งเป็นคำพูดประจำโดยคุณครูโรงเรียนอนุบาล เพื่อเชิญชวนเด็กเล็กๆ ให้นิยมรับประทานปลานั้น จริงหรือไม่ ซึ่งได้มีการนำประเด็นดังคำกล่าวไปทำการศึกษาวิจัยกันมาก โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นได้มีผลการวิจัยที่แสดงอย่างชัดเจนว่า สาร DHA ในน้ำมันปลามีส่วนสำคัญในการพัฒนาสมองโดยเฉพาะด้านความจำ และการเรียนรู้

จึงเป็นที่สรุปว่า คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ (Pregnancy), แม่ที่ให้นมบุตร (Lactation) และเด็กควรได้รับ DHA เสริมอย่างที่จะเลี่ยงไม่ได้ ในปริมาณที่เหมาะสม ดังนี้

แม่ที่ตั้งครรภ์ (Pregnancy), แม่ที่ให้นมบุตร (Lactation) ตามคำแนะนำของ ISSFAL (International Society for the Study of Fatty acids and Lipids) ประเทศสหรัฐอเมริกา ให้แม่ที่ตั้งครรภ์หรือแม่ที่กำลังให้นมบุตรอยู่ ควรได้รับ DHA เสริมวันละ 300 mg นอกจากนี้การได้รับ DHA อย่างเพียงพอเป็นประจำในเด็ก นอกจาก DHA จะส่งเสริมการพัฒนาสมองแล้วการได้รับ DHA เสริมอย่างสม่ำเสมอ ยังส่งผลให้เด็กมีภูมิต้านทานมากขึ้น ทำให้ลดการเกิดการเจ็บป่วย มีสุขภาพที่แข็งแรง ซึ่งลดปัญหาการขาดเรียนโรงเรียนได้อย่างเห็นผล

ผศ.ดร.อริศร์ เทียนประเสริฐ อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าวถึงผลงานวิจัย " ประโยชน์ของการรับประทาน DHA เสริมว่า DHA พบมากในปลาทะเล และจากผลงานวิจัยในต่างประเทศจำนวนมาก ที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของ DHA ในการเพิ่มพัฒนาการทางสมอง โดยการเสริม DHA ลงในนม และให้เด็กดื่มตลอดภาคการศึกษา พบว่า DHA ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ทำให้เด็กลดระยะเวลาในการป่วย และขาดเรียนอย่างเห็นได้ชัด "

ทั้งนี้ จากงานวิจัยดังกล่าว ผลการวิจัยแสดงว่า เมื่อมีการเสริม DHA ในเด็กชั้นประถมศึกษาในปริมาณ 100 mg ทุกวันตลอดภาคการศึกษา เด็กจะมีระยะเวลาในการป่วย และขาดเรียนลดลง 10% และในกลุ่มที่ได้รับ DHA เพิ่มขึ้นในประมาณ 1,000 mg จะมีระยะเวลาการขาดเรียนลดลง 30% เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับ DHA เสริม

ในการประชุมโภชนาการเด็กแห่งเอเซีย ณ กรุงปักกิ่ง ได้มีการเปิดเผยผลงานวิจัย ซึ่งสนับสนุนผลงานวิจัยที่ผ่านมาว่า " เด็กต้องได้รับการบริโภคกรดไขมันไม่อิ่มตัว DHA ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ถึงวัยทารก และปฐมวัย โดย DHA ซึ่งเป็นไขมันที่เป็นโครงสร้างที่สำคัญในสมอง และประสาทจอตา ซึ่งจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโต และการสร้างภูมิคุ้มกันในเด็ก " ดร.เพิร์ทโฮลด์ โคเลตซีโก จากโรงพยาบาลเด็ก และ ดร.วอน ฮาวเนอร์ จากมหาวิทยาลัยมิวนิค ได้นำเสนอผลการวิจัยใหม่ในหัวข้อโภชนาการไขมัน ในปริมาณที่เพียงพอ ในช่วงอายุ 5 เดือนก่อนคลอด ถึง 1 เดือนหลังคลอด ผลการวิจัยแสดงว่า สตรีมีครรภ์ หรือสตรีที่ให้นมบุตร ควรบริโภคกรดไขมัน DHA ในปริมาณอย่างน้อย 200 mg อีกทั้งคณะผู้เชี่ยวชาญ พบว่า สตรีที่บริโภคกรดไขมัน DHA ในปริมาณที่มากกว่าจะมีสุขภาพครรภ์ที่ดีกว่าสตรีมีครรภ์ ที่ไม่ได้รับการบริโภคกรดไขมัน DHA เสริม อีกทั้งมีผลในการช่วยเพิ่มน้ำหนักเด็กที่คลอด และลดอัตราการคลอดก่อนกำหนด นอกจากนี้ ยังมีส่วนช่วยในการพัฒนาการของเด็กในหลายด้าน เช่น การพัฒนาการของสมองและสายตา เป็นต้น

ขณะเดียวกัน ดร.อเล็กซานเดอร์ ลาพิลลอนเน มหาวิทยาลัยปารีส เอส์การัตส์ นำเสนอผลงานวิจัย ความสัมพันธ์ระหว่าง การมองเห็นของทารกกับการบริโภคกรดไขมัน DHA พบว่า DHA มีความสัมพันธ์ทำให้พัฒนาการมองเห็น และสมองดีขึ้นอย่างชัดเจน

ดร.อลันไรอัน จากมาร์เก็ต ไบโอไซน์ส (Market Bioscience) นำเสนอผลของการบริโภค DHA ในเด็กอายุ 4 ขวบ ที่มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ดี ผลการวิจัย พบว่า หากมีระดับปริมาณ DHA ในเลือดในปริมาณมากจะส่งผลให้เด็กสามารถ ทำแบบทดสอบด้านความรับรู้ได้ดีเพิ่มมากขึ้นตามปริมาณ DHA ในเลือด ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ในเด็กจำเป็นที่ต้องได้รับการบริโภค DHA เสริม

ISSFAL สำนักงาน USA และ University of Maryland USA กล่าวว่า เด็กที่มีปัญหาสมาธิสั้น (IDD: Intensive Deficit Disorder) และเด็กสมาธิสั้นและมีอาการซุกซนผิดปกติ (IDHD: Intensive Deficit Hyperactivity Disorder) เหล่านี้ มีสาเหตุหลักอย่างหนึ่งมาจากการที่สมองขาด DHA ซึ่งแนวทางในการรักษาคือ การให้ DHA เสริมในปริมาณที่สูง (High dose) หมายความว่า ควรได้รับ DHA เสริมในปริมาณวันละ 300-600 mg ซึ่งผลการทดสอบพบว่า เด็กในกลุ่มอาการเหล่านี้ มีอาการลดลงอย่างเห็นได้อย่างชัดเจน และมีสมาธิมากขึ้น

อีกทั้งผลงานวิจัยที่แสดงถึงการรับประทาน DHA เสริม แล้วเด็กจะมีพัฒนาการทางสมอง หรือ IQ ที่สูงขึ้น เช่น ผลงานวิจัยที่จัดทำโดย University of Maryland USA ผลการทดลองสรุปได้ว่า DHA (Docosahexaenoic acid) เป็นกรดไขมันชนิดหนึ่งที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ แต่เป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายต้องการ ซึ่งแหล่งที่มาจะได้จากทางอาหารที่รับประทานได้อย่างเดียว โดยแหล่งที่พบมากจะพบในปลาทะเลน้ำลึก ซึ่งเป็นแหล่งที่สามารถสกัด DHA หรือที่เรียกว่า Omega 3 (สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมจากรูปข้างล่าง) ซึ่งจะเป็นสารตั้งต้น (Precursor) ในการสร้างเนื้อเยื่อสมอง และจอตา ดังนั้นสตรีมีครรภ์ควรได้รับ DHA เสริมในปริมาณที่เพียงพออย่างสม่ำเสมอ หากมีปริมาณ DHA อยู่ในน้ำนมที่ได้รับจากการรับประทานปลาหรือจากธรรมชาติไม่เพียงพอ ซึ่งจะมีส่วนในการส่งผลไปถึงเด็กในครรภ์



คำถามที่พบบ่อยที่สุด

1. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร DHA จะระบุว่า " เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทาน " จะให้เด็ก หรือสตรีมีครรภ์รับประทานได้หรือเปล่า ???

ความเป็นจริงแล้ว เด็กและสตรีมีครรภ์สามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัย การที่มีคำเตือนนั้นเป็นเพียงคำเตือนมาตรฐานของการขึ้นทะเบียนผลิตเสริมอาหารเท่านั้น กล่าวคือ ถ้าเราขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม จะต้องมีการติดหรือระบุคำเตือนนี้ ไว้เป็นมาตรฐาน เช่น ผลิตภัณฑ์ Calcium / Vitamin D ถ้ามีการขึ้นทะเบียนยา จะต้องระบุคำเตือนที่ว่า " ยาอาจสะสมในร่างกาย ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ " แต่ถ้าขึ้นทะเบียนเป็นอาหารเสริม จะต้องมีการระบุคำเตือนที่ว่า " เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทาน " ทั้งที่เป็นผลิตภัณฑ์ชนิดเดียวกัน ซึ่งอาจสังเกตจากการที่แพทย์ให้สตรีมีครรภ์ รับประทานแคลเซียมเสริมตั้งแต่ทราบว่าตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอด

การที่เราจะพิจารณาว่า คำเตือนที่ว่า " เด็กและสตรีมีครรภ์ " ใช้กับสตรีมีครรภ์ได้หรือไม่ อาจจะมีการพิจารณาจากส่วนประกอบ ของผลิตภัณฑ์ ดังนี้ จากปริมาณ DHA 150 mg นั้น เท่ากับการรับประทานปลาวันละ ประมาณ 1 kg (7.8 gm) ซึ่งไม่เคยปรากฏว่าการรับประทานปลาในปริมาณมาก เป็นพิเศษจะให้โทษต่อร่างกาย ยกเว้นในกรณีของผู้ที่มีอาการแพ้ปลาทะเล ในทางตรงกันข้ามในความเป็นจริงเราไม่สามารถที่จะรับประทานปลา ในปริมาณมากในแต่ละวัน จึงสามารถสรุปได้ว่า การรับประทาน DHA 150 mg นั้น หรือการรับประทานปลาวันละ ประมาณ 7.8 gm เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ซึ่งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มาจาก สารสกัดจากธรรมชาตินั้นสามารถรับประทานได้ตลอดไป

การพิจารณาปริมาณวิตามินต่างๆ ที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ว่า เด็กสามารถรับประทานอย่างต่อเนื่องได้ไหม ฉะนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องมาเรียนรู้ถึงความจำเป็นของร่างกายในการที่จะได้รับวิตามินต่างๆ ในปริมาณที่เหมาะสม เราจึงต้องเรียนรู้ ค่า RDI (Recommended Dietary Intake) หรือ ค่าปริมาณวิตามินที่ร่างกายควรได้รับต่อวันจำแนกตามอายุดังกล่าวตามตารางดังนี้ (RDI เป็นค่ามาตรฐานที่ถูกกำหนดโดย FDA ทุกประเทศ)

ตารางที่ 1 เปรียบเทียบปริมาณ Vitamin ต่างๆ ในผลิตภัณฑ์ DHA ที่อยู่ในรูปแบบของ Lactapreg ® (Lactation และ pregnancy) สำหรับเด็กอายุ 6 ขวบ ขึ้นไป









Active ingredient
Vitamin
ค่า Thai RDI
*อายุ 6 ปีขึ้นไป









Fish oil
300 mg
(Provide DHA 150 mg)

DHA











Vitamin A
acetate 1.5 M IU/g

0.88 mg
(equal to 1320 IU)

Vit.A
800 mcg
(2,664) IU











Cholecalciferol
1 M IU/g

0.1 mg
(equal to 100 IU)

Vit. D
5 mcg
(200) IU











Ascorbic acid
30 mg
Vit. C
60 mg










Thiamine nitrate
0.75 mg
Vit. B1
1.5 mg










Riboflavin
0.85 mg
Vit. B2
1.7 mg










Niacinamide
10 mg
Vit. B3
20 mg










Pyridoxine HCL
1 mg
Vit. B6
2 mg










Folic acid
0.1 mg

200 mcg










Panthothenic acid
92%

3.26 mg
(equal to 2.99 mg)

Vit. B5
6 mg










Cyanocobalamin
0.1%

1 mg
(equal to 1 mcg)

Vit. B12
2 mcg










Ferrous fumarate
32.8%

23 mg
(equal to 7.54 mg)

Iron
15 mg










Sodium Iodide
32.8%

75 mcg
Iodine
150 mcg










Zinc sulphate
monohydrate 36.44%

20.6 mg
(equal to 7.5 mg)

Zinc
15 mg










Copper sulphate
25%

4 mg
(equal to 1 mg)

Copper
2 mg










Fluoride 45%
(Na Fluoride)

1 mg
Fluoride
2 mg











จึงสรุปได้ว่า ผลิตภัณฑ์ DHA ในรูปแบบ Lactapreg ® สามารถรับประทานได้ตั้งแต่เด็กอายุ 6 ขวบขึ้นไป จนถึงแม่ที่ตั้งครรภ์ (Pregnancy) หรือแม่ที่ให้นมบุตร

ตารางที่ 2 เปรียบเทียบปริมาณ Vitamin ต่างๆ ในผลิตภัณฑ์ DHA ที่อยู่ในรูปแบบของ minicapsule สำหรับเด็กอายุ 1-3 ขวบ










Active ingredient
Vitamin
ค่า Thai RDI
อายุ 1-3 ปี









Fish oil
150 mg
(Provide DHA 0.75 mg)

DHA











Vitamin A
acetate 1.5 M IU/g

666 IU
(equal to 1320 IU)

Vit.A
1,332 IU










Cholecalciferol
1 M IU/g

0.1 mg
(equal to 100 IU)

Vit. D
200 IU










Ascorbic acid
20 mg
Vit. C
40 mg










Thiamine nitrate
0.25 mg
Vit. B1
0.5 mg










Riboflavin
0.25 mg
Vit. B2
0.5 mg










Niacinamide
3 mg
Vit. B3
6 mg










Pyridoxine HCL
0.25 mg
Vit. B6
0.5 mg










Folic acid
75 mcg

2 mg










Panthothenic acid
92%

1 mg
Vit. B5
2 mg










Cyanocobalamin
0.1%

0.45 mg
(equal to 1 mcg)

Vit. B12
0.9 mcg











เช่นเดียวกับ DHA ในรูปแบบ minicapsule สามารถรับประทานได้ ตั้งแต่เด็กอายุ 1 ขวบขึ้นไป จนถึง อายุ 6 ขวบ ในขนาดรับประทานวันละ 1-2 แคปซูล ก่อนนอน (ขนาดรับประทานนี้ เด็กอายุ 1-3 ขวบ จะได้รับวิตามินต่างๆ เพียงครึ่งเดียว หรือพอดีกับที่ร่างกายต้องการต่อวัน และจำเป็นที่จะต้องได้รับวิตามินเหล่านี้เพิ่มเติมจากอาหาร โดยการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่

จากตารางข้างบนจะเห็นได้ว่า DHA ในรูปแบบ Lactation Pregnancy และ Adult (อายุ 6 ขวบขึ้นไป) จะมีส่วนประกอบไปด้วยวิตามินต่างๆ เพียงครึ่งหนึ่งของปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน (ค่า RDI) หากรับประทานวันละ 2 เม็ด ก็จะได้รับ DHA ถึง 300 mg และจะได้รับวิตามินต่างๆ ในปริมาณที่เท่ากับร่างกายต้องการต่อวัน (ตารางประกอบ)

และผลิตภัณฑ์ DHA ในรูปแบบ minicapsule สำหรับเด็กเล็กที่สามารถรับประทานยาเม็ดแคปซูลได้ ก็จะมีส่วนประกอบของ DHA 150 mg ต่อเม็ดเช่นกัน แต่ปริมาณวิตามินต่างๆ ต่อเม็ดมีเพียงครึ่งหนึ่งของค่าปริมาณความต้องการวิตามินที่ร่างการต้องการต่อวัน (RDI) สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบ (ดูตารางประกอบ)

จึงสรุปได้ว่าผลิตภัณฑ์ DHA ในรูปแบบ Lactagreg ® และในรูปแบบ minicapsule สามารถรับประทานได้ตลอดชีวิตแทนอาหารได้อย่างปลอดภัย แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ปริมาณวิตามินต่างๆ ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ซึ่งยังต้องได้รับเพิ่มจากสารอาหารทั่วไปอีกโดยการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ปริมาณวิตามินต่างๆ ที่มีอยู่เป็นเพียงความต้องการใช้บนพื้นฐาน เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดวิตามินต่างๆ จากการที่เราไม่สามารถรับประทานอาหารได้ครบ 5 หมู่