วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วิตามินรวมวันละเม็ดมีคุณค่ามากกว่าที่คุณคิด

วิตามินรวมวันละเม็ดมีคุณค่ามากกว่าที่คุณคิด


โดยปกติแล้วเชื่อกันว่า การกินอาหารครบทุกหมู่ การมีชีวิตกระฉับกระเฉงนั้น คือ หลักการพื้นฐานของการมีสุขภาพดี แต่การใช้ชีวิตประจำวันในปัจจุบันนี้ ในบางเวลาเราต้องการอาหารเป็นพิเศษ ความเครียดหรือโรคภัยไข้เจ็บ จึงทำให้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการชีวิตที่ในสถานการณ์ที่รีบเร่ง การกินอาหารอย่างรีบเร่ง การกินอาหารสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น การฟื้นจากไข้ การวางแผนมีบุตร การกินอาหารมังสวิรัติ หรือภาวะชรา ซึ่งภาวะเหล่านี้ล้วนกดดันให้ร่างกายต้องการสารอาหารเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากเงื่อนไขที่กล่าวมาแล้วยังมีปัจจัยเพิ่มเติมที่คุณอาจไม่เคยคาดคิด เช่น ในอาหารประจำวันที่เรากินอาจมีสารอาหารบางตัวไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย (เช่น กรดโฟลิกและวิตามินดี) ในภาวะเช่นนี้ คงเห็นได้ชัดว่า การกินผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพเป็นประจำจะมีประโยชน์เพียงใด

ขณะที่การกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพอย่างสมดุลและครบหมู่ จะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินและเกลือแร่ครบถ้วนตามที่ร่างกาย ของคนส่วนใหญ่ต้องการ ช่วยรักษาสุขภาพและป้องกันโรคอันเกิดจากการขาดสารอาหารได้

แต่ก็อาจมีคนบางกลุ่มยังจำเป็นต้องได้รับสารอาหารเพิ่มเป็นพิเศษ จึงจะเพียงพอกับความต้องการในบางช่วงเวลาของชีวิต อันได้แก่

- คนที่มีงานยุ่งทั้งวันจนกินอาหารไม่ตรงเวลาและกินของขบเขี้ยวแทนอาหารหลัก ของว่างเหล่านั้นมักมีวิตามิน เกลือแร่ไม่เพียงพอและครบถ้วน
- ผู้ที่กินอาหารมังสวิรัติและผู้ซึ่งควบคุมอาหารเป็นพิเศษมักจะได้รับสารอาหารจำพวกธาตุเหล็กและวิตามินบี12 ไม่เพียงพอ
- สตรีมีครรภ์จำเป็นต้องใช้วิตามินและเกลือแร่บางตัวเป็นพิเศษ
- เมื่อคนเราอายุมากขึ้น ความสามารถในการดูดซึมอาหารจะลดลง นอกจากนี้ผู้สูงวัยมักเคี้ยวอาหารลำบาก กินได้น้อย จึงยากที่จะได้รับสารอาหารเพียงพอต่อความต้องการ
- ผู้ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ผู้ดื่มสุราและสูบบุหรี่อาจมีความจำเป็น ต้องใช้วิตามินและเกลือแร่มากกว่าคนปกติ เมื่อเทียบกับผู้มีอายุและเพศเดียวกัน
ในกรณีที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ การได้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจำนวนพอประมาณอาจเป็นเรื่องเหมาะสม วิตามินและเกลือแร่อาจมีฤทธิ์รักษาโรค ช่วยผู้ป่วยให้ฟื้นจากโรคเร็วขึ้น และบางตัวที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระอาจมีบทบาทในการป้องกันโรค เช่น มะเร็งและโรคหัวใจ

เรามารู้จักวิตามินกันก่อน
นักวิชาการแบ่งวิตามินออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มแรก คือวิตามินที่จำเป็นต้องได้รับเข้าสู่ร่างกายเป็นประจำสม่ำเสมอ เนื่องจากสามารถละลายได้ในน้ำ และสูญเสียจากร่างกาย อย่างรวดเร็วผ่านทางปัสสาวะ วิตามินซีและวิตามินบี จัดว่าเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ส่วนวิตามินที่เหลือได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค ทั้งหมดเป็นวิตามินที่ละลายในไขมันและจัดเป็นวิตามินกลุ่มที่สอง เนื่องจากวิตามินพวกนี้ละลายได้ในไขมันจึงสะสมอยู่ในไขมันของร่างกายได้นาน นับเดือนนับปี

ต่อมาเรามาทำความรู้จักกับเกลือแร่ เกลือแร่เป็นสารอนินทรีย์ที่มีต้นกำเนิดมาจากสิ่งไม่มีชีวิต เช่น หินและสายแร่โลหะ เกลือแร่เหล่านี้จะเข้ามาสู่ห่วงโซ่อาหาร โดยผสมผสานอยู่ในดินที่พืชแทงรากลงไป เราอาจได้รับเกลือแร่เข้าสู่ร่างกายโดยตรง จากการกินพืชหรือทางอ้อมโดยกินสัตว์ที่กินพืชอีกทีหนึ่ง เกลือแร่ก็เป็นสารที่ร่างกายต้องการใช้ในปริมาณไม่มากนัก เช่นเดียวกับวิตามิน แต่ถ้าไม่มีเกลือแร่ร่างกายก็ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ มีเกลือแร่ประมาณ 22 ชนิดที่จำเป็นต่อสุขภาพร่างกาย ยกตัวอย่างเช่น แคลเซียมเพื่อเสริมสร้างกระดูก และฟันที่แข็งแรง และธาตุเหล็กเพื่อช่วยสมองให้มีสมาธิ และช่วยให้ร่างกายมีพลังงานมีชีวิตชีวา

เกลือแร่แบ่งได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ
เกลือแร่หลัก เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม คลอไรด์ โซเดียม กำมะถันและฟอสฟอรัส
เกลือแร่รองหรือเกลือแร่ที่ใช้น้อย เช่น ทองแดง โครเมียม ฟลูออไรด์ ซีลีเนียม และสังกะสี ซึ่งร่างกายต้องการใช้ในปริมาณน้อยมาก

เมื่อเรารู้แล้วว่าวิตามินและเกลือแร่ คืออะไรแล้วเรามาดูว่าวิตามินและเกลือแร่สัมพันธ์กันอย่างไร ทันทีที่เราบริโภควิตามินหรือเกลือแร่เข้าไปในรูปของอาหารหรือเครื่องดื่ม หรือผ่านทางผลิตภัณฑ์อาหารเสริมก็ตาม จะต้องถูกดูดซึมผ่านผนังทางเดินอาหาร เข้าไปสู่กระแสเลือดเพื่อจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในร่างกาย เมื่อวิตามินและเกลือแร่อยู่ร่วมกันก็อาจส่งผลดีต่อการดูดซึมของทั้งสองฝ่าย เช่น เมื่อกินวิตามินซีพร้อมกับอาหารประเภทผักซึ่งมีธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบ จะช่วยให้ธาตุเหล็กถูกดูดซึมได้ดีขึ้นเช่นเดียวกับการกินวิตามินดีพร้อมกับแคลเซียม ในอาหารมื้อเดียวกัน การกินวิตามินบีแต่ละตัวมีประสิทธิภาพขึ้น ขณะที่วิตามินเอ ซีและอี มีส่วนช่วยดูดซึมซีลีเนียมในทางเดินอาหาร

กุญแจสู่ภาวะโภชนาการที่ดี คือการสร้างสมดุล และไม่กินสารอาหารตัวใดตัวหนึ่งมากเกินไปซึ่งจะทำให้เกิดการเสียสมดุลของวิตามินตัวอื่นๆ

เหตุผลที่ต้องใช้ผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ
1. การกินป้องกันโรค ทุกวันนี้คนเราจะคิดถึงเรื่องสุขภาพในแง่การป้องกันมากกว่าการรักษาโรค และในบางครั้งการกินสารอาหารปริมาณที่สูงกว่าที่มีอยู่ในอาหารธรรมชาติอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค ในช่วงท้ายของชีวิตได้ สารอาหารต้านอนุมูลอิสระจำพวกวิตามินซีและอี ซีลีเนียม ได้รับความสนใจเป็นพิเศษในคุณสมบัติข้อนี้
2. การกินอาหารแนวพิเศษ เช่นผู้กินอาหารมังสวิรัติมีโอกาสน้อยมากที่จะได้รับวิตามินและเกลือแร่ ครบทุกชนิดและในปริมาณที่เพียงพอจากอาหารมังสวิรัติ การกินอาหารเสริมอาจเป็นแนวทางจำเป็น เพื่อสร้างสุขภาพที่ดีสำหรับคนกลุ่มนี้ ขณะยังยึดถือแนวปฏิบัติของตนไว้ได้
3. การรักษาโรค หลายคนกลับมาให้ความสำคัญกับสมุนไพรมากขึ้นในการรักษาอาการ ของโรคนอกเหนือจากการใช้ยาแผนปัจจุบันในการรักษาเพียงอย่างเดียว
4. หลักประกันแห่งการมีสุขภาพดี ในกลุ่มคนที่พยายามใช้ชีวิตให้อยู่ในแนวทางสุขภาพ และกินอาหารสมดุลครบห้าหมู่แต่เพื่อความมั่นใจว่าร่างกายจะได้รับวิตามิน และเกลือแร่ที่จำเป็นครบถ้วน ก็อาจใช้ผลิตภัณฑ์เสริมวิตามินและเกลือแร่ตามความเหมาะสม
5. วิถีชีวิตที่วุ่นวายและเคร่งเครียด กิจกรรมในแต่ละวันที่เพิ่มขึ้นในชีวิต คุณภาพอาหารอาจเป็นสิ่งหนึ่งที่เราละเลยไป เนื่องจากร่างกายจำเป็นต้องใช้สารอาหารเพิ่มพิเศษ อันเป็นผลจากความเครียดเช่นนี้แล้วผลิตภัณฑ์เสริมวิตามินและเกลือแร่ จะช่วยเติมส่วนที่ขาดหายไปเนื่องจากการกินอาหารคุณภาพต่ำ
6. ก้าวย่างของชีวิต ความต้องการสารอาหารมีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในแต่ละก้าว ย่างของชีวิต เช่น ในช่วงเวลาก่อนตั้งครรภ์ ระหว่างตั้งครรภ์ และระหว่างเลี้ยงดูลูกด้วยนมมารดา ร่างกายจะต้องใช้วิตามิน เกลือแร่และสารอาหารบางตัวเพิ่มเป็นพิเศษ อีกทั้งเมื่อเข้าสู่วัยชรา การดูดซึมสารอาหารลดลงไปตามกาลเวลาความอยากอาหารก็ลดลงด้วย ส่งผลให้ร่างกายได้รับสารอาหารน้อยลงจนอาจไม่เพียงพอกับความต้องการ
7. การสูบบุหรี่ จะดูดเอาวิตามินซีในร่างกายออกไปอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องได้รับวิตามินซีในอาหารสูงเป็นพิเศษจึงจำเป็นต้องได้กินวิตามินซีก่อนเลิกบุหรี่ รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระจำพวกซีลีเนียมและวิตามินอีอาจจะช่วยป้องกัน ไม่ให้ปอดถูกทำลายซึ่งช่วยได้ทั้งผู้ที่สูบบุหรี่และผู้ที่ได้รับควันบุหรี่จากผู้อื่น

ปัจจุบันนี้มีผลิตภัณฑ์เสริมในท้องตลาดมากมายที่ให้สรรพคุณในการเสริมสุขภาพ มีส่วนประกอบของวิตามินและเกลือแร่หลายชนิดในปริมาณที่แตกต่างกันออกไปดังนี้


Ingredient
(สารประกอบ)
Centxxx Z-Bxx Banxxx Prxxxxx Z-Centrex ค่า Thai RDI*
1. Isolate Soy Protein - - 330.0 mg 330.0 mg
2. Tomato Extract Powder(Lycopene) - - - 0.4958 mg
3. Lecithin - - 85.0 mg -
4. Magnesium 100.0 mg - - 150.0 mg 350.0 mg
5. Phosphorus 125.0 mg - - 119.3 mg 800.0 mg
6. Zinc 15.0 mg 22.5 mg - 15.0 mg 15.0 mg
7. Copper 2.0 mg - - 2.0 mg 2.0 mg
8. Ferrous - - - 4.0 mg
9. Manganese 5.0 mg - - 3.5 mg 3.5 mg
10. Selenium 25.0 mcg - - 0.07 mg 0.07 mg
11. Chromium 25.0 mcg - - 0.025 mg 130.0 mcg
12. Potassium 40.0 mg - - 0.046 mg 3,500.0 mg
13. Iodine 0.15 mg - - 0.15 mg 0.15 mg
14. Calcium 175.0 mg - - - 800.0 mg
15. Iron - - - - 15.0 mg
16. Chlorine 36.0 mg - - - 3,400.0 mg
17. Molybdenum 25.0 mcg - - - 160.0 mcg
18. Nickel 5.0 mcg - - -
19. Tin 10.0 mcg - - -
20. Vanadium 10.0 mcg - - -
21. Silicon 10.0 mcg - - -
22.Soybean oil - - 410 mg -
23. Vitamin A 2000 IU - - 2664 IU 2664 IU
24. Beta-Carotene 3000 IU - - -
25. Vitamin C 90.0 mg 600.0 mg - 60.0 mg 60.0 mg
26. Vitamin E 30 IU 45 IU - 15 IU 15 IU
27. Folic Acid 0.4 mg - - 0.2 mg 200 mcg
28. Vitamin B1 2.25 mg 15.0 mg - 1.5 mg 1.5 mg
29. Vitamin B2 (Riboflavin) 3.2 mg 10.2 mg - 1.7 mg 1.7 mg
30. Vitamin B6 3.0 mg 10.0 mg - 2.0 mg 2.0 mg
31. Vitamin B12 9.0 mcg 6.0 mg - 0.002 mg 0.002 mg
32. Vitamin D 400 IU - - 200 IU 200 IU
33. Niacinamide (Vitamin B3) 40.0 mg - - 20.0 mg 20.0 mg
34. D-Biotine 45.0 mcg - - 0.150 mg 0.150 mg
35. Pantothenic Acid (Vita. B5) 10.0 mg 25.0 mg - 6.0 mg 6.0 mg

จากตารางที่แสดงปริมาณวิตามินและเกลือแร่ต่างๆของอาหารเสริมสุขภาพในจำนวน 4 ผลิตภัณฑ์นี้มี 2 ผลิตภัณฑ์ที่ขึ้นทะเบียนเป็นยารักษาโรคเพราะมีปริมาณวิตามินหรือเกลือแร่เกินปริมาณที่กำหนดไว้ใน RDI จึงจำเป็นที่จะต้องขึ้นทะเบียนเป็นยารักษาโรคเท่านั้น แต่ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมอีกหนึ่งตัว มีปริมาณวิตามินหรือเกลือแร่น้อยกว่าที่กำหนดไว้ใน RDI ในขณะที่ผลิตภัณฑ์วิตามินรวมมีปริมาณวิตามิน และเกลือแร่ส่วนใหญ่เท่ากับที่กำหนดไว้ใน RDI จึงทำให้รับประทานอาหารเสริมวิตามินรวม นี้ได้อย่างมั่นใจว่าได้รับปริมาณวิตามินและเกลือแร่ที่พอเหมาะพอดีในปริมาณที่ไม่มากหรือน้อยเกินไป ที่จะใช้เพื่อทดแทนวิตามินและเกลือแร่ที่ร่างกายต้องการและปลอดภัยต่อร่างกายเมื่อใช้ติดต่อกันไปในระยะเวลานาน

เมื่อกล่าวถึง RDI แล้วมาทำความรู้จักกับ RDI กัน RDI หรือ Reference Dietary Intakes คือปริมาณของสารอาหารที่แนะนำว่าควรได้รับ หรือไม่ควรได้รับเกินเท่าไหร่ในแต่ละวันซึ่งมาจากค่า RDA (Recommended Dietary Allowances), EAR (Estimated Average Requirement), AI(Adequate Intake)และUL(Safe/Tolerable Upper Level) รวมกันแต่ละตัวมีความหมายดังนี้ค่า RDA เป็นปริมาณขั้นต่ำสุดที่แนะนำให้คนทั่วไปกินในแต่ละวันเพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุข กินมากกว่านี้ก็ได้ ถ้าไม่มากเกินไปจริงๆก็ไม่เป็นไรสำหรับผู้ที่กินอาหารเสริม วิตามิน เกลือแร่ฯลฯ อยู่แล้วคิดจะใช้ RDA เป็นแนวทางว่ากินถึงหรือเกิน RDAหรือยัง ถ้าถึงหรือเกิน RDA แล้วจะได้หยุดกิน จึงเป็นการคิดที่ไม่ถูกต้อง เพราะถ้าทำเช่นนั้นอาจได้สารอาหารไม่ถึง RDA ทำให้ขาดสารอาหารนั้นได้ ถ้าเกรงว่าจะกินมากเกินไปต้องไปดูค่า UL แล้วกินอย่าให้เกินค่านี้

ค่า RDA ที่มีอยู่ใช้สำหรับบุคคลทั่วไปที่แข็งแรงดีและดำรงชีวิตตามปกติเท่านั้น ค่านี้ใช้ไม่ได้กับผู้ป่วย คนที่เป็นโรคขาดสารอาหาร หรือคนที่ดำรงชีวิตแตกต่างไปจากคนธรรมดามาก เช่นนักเพาะกายจัดว่าดำรงชีวิตที่แตกต่างไปจากธรรมดามาก ในแง่ของการใช้พลังงานและการใช้งานกล้ามเนื้อดังนั้นค่า RDA สำหรับคนทั่วไปบางค่าเช่นปริมาณพลังงานและโปรตีนที่ต้องการ ในแต่ละวันจึงใช้ไม่ได้กับนักเพาะกายเช่น RDA ของโปรตีนในผู้ชายทั่วไปเท่ากับ 0.6 ก/กก.เท่านั้น แต่ในนักเพาะกายแนะนำกันไว้ที่ 2-3 ก/กก./วัน

วิธีรับประทานเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด รับประทานวันละ 1-2 เม็ด ก่อนนอน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น