โดยปกติแล้วเชื่อกันว่า การกินอาหารครบทุกหมู่ การมีชีวิตกระฉับกระเฉงนั้น คือ หลักการพื้นฐานของการมีสุขภาพดี แต่การใช้ชีวิตประจำวันในปัจจุบันนี้ ในบางเวลาเราต้องการอาหารเป็นพิเศษ ความเครียดหรือโรคภัยไข้เจ็บ จึงทำให้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการชีวิตที่ในสถานการณ์ที่รีบเร่ง การกินอาหารอย่างรีบเร่ง การกินอาหารสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น การฟื้นจากไข้ การวางแผนมีบุตร การกินอาหารมังสวิรัติ หรือภาวะชรา ซึ่งภาวะเหล่านี้ล้วนกดดันให้ร่างกายต้องการสารอาหารเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากเงื่อนไขที่กล่าวมาแล้วยังมีปัจจัยเพิ่มเติมที่คุณอาจไม่เคยคาดคิด เช่น ในอาหารประจำวันที่เรากินอาจมีสารอาหารบางตัวไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย (เช่น กรดโฟลิกและวิตามินดี) ในภาวะเช่นนี้ คงเห็นได้ชัดว่า การกินผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพเป็นประจำจะมีประโยชน์เพียงใด
ขณะที่การกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพอย่างสมดุลและครบหมู่ จะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินและเกลือแร่ครบถ้วนตามที่ร่างกาย ของคนส่วนใหญ่ต้องการ ช่วยรักษาสุขภาพและป้องกันโรคอันเกิดจากการขาดสารอาหารได้
แต่ก็อาจมีคนบางกลุ่มยังจำเป็นต้องได้รับสารอาหารเพิ่มเป็นพิเศษ จึงจะเพียงพอกับความต้องการในบางช่วงเวลาของชีวิต อันได้แก่
- คนที่มีงานยุ่งทั้งวันจนกินอาหารไม่ตรงเวลาและกินของขบเขี้ยวแทนอาหารหลัก ของว่างเหล่านั้นมักมีวิตามิน เกลือแร่ไม่เพียงพอและครบถ้วน
- ผู้ที่กินอาหารมังสวิรัติและผู้ซึ่งควบคุมอาหารเป็นพิเศษมักจะได้รับสารอาหารจำพวกธาตุเหล็กและวิตามินบี12 ไม่เพียงพอ
- สตรีมีครรภ์จำเป็นต้องใช้วิตามินและเกลือแร่บางตัวเป็นพิเศษ
- เมื่อคนเราอายุมากขึ้น ความสามารถในการดูดซึมอาหารจะลดลง นอกจากนี้ผู้สูงวัยมักเคี้ยวอาหารลำบาก กินได้น้อย จึงยากที่จะได้รับสารอาหารเพียงพอต่อความต้องการ
- ผู้ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ผู้ดื่มสุราและสูบบุหรี่อาจมีความจำเป็น ต้องใช้วิตามินและเกลือแร่มากกว่าคนปกติ เมื่อเทียบกับผู้มีอายุและเพศเดียวกัน
ในกรณีที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ การได้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจำนวนพอประมาณอาจเป็นเรื่องเหมาะสม วิตามินและเกลือแร่อาจมีฤทธิ์รักษาโรค ช่วยผู้ป่วยให้ฟื้นจากโรคเร็วขึ้น และบางตัวที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระอาจมีบทบาทในการป้องกันโรค เช่น มะเร็งและโรคหัวใจ
เรามารู้จักวิตามินกันก่อน
นักวิชาการแบ่งวิตามินออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มแรก คือวิตามินที่จำเป็นต้องได้รับเข้าสู่ร่างกายเป็นประจำสม่ำเสมอ เนื่องจากสามารถละลายได้ในน้ำ และสูญเสียจากร่างกาย อย่างรวดเร็วผ่านทางปัสสาวะ วิตามินซีและวิตามินบี จัดว่าเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ส่วนวิตามินที่เหลือได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค ทั้งหมดเป็นวิตามินที่ละลายในไขมันและจัดเป็นวิตามินกลุ่มที่สอง เนื่องจากวิตามินพวกนี้ละลายได้ในไขมันจึงสะสมอยู่ในไขมันของร่างกายได้นาน นับเดือนนับปี
ต่อมาเรามาทำความรู้จักกับเกลือแร่ เกลือแร่เป็นสารอนินทรีย์ที่มีต้นกำเนิดมาจากสิ่งไม่มีชีวิต เช่น หินและสายแร่โลหะ เกลือแร่เหล่านี้จะเข้ามาสู่ห่วงโซ่อาหาร โดยผสมผสานอยู่ในดินที่พืชแทงรากลงไป เราอาจได้รับเกลือแร่เข้าสู่ร่างกายโดยตรง จากการกินพืชหรือทางอ้อมโดยกินสัตว์ที่กินพืชอีกทีหนึ่ง เกลือแร่ก็เป็นสารที่ร่างกายต้องการใช้ในปริมาณไม่มากนัก เช่นเดียวกับวิตามิน แต่ถ้าไม่มีเกลือแร่ร่างกายก็ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ มีเกลือแร่ประมาณ 22 ชนิดที่จำเป็นต่อสุขภาพร่างกาย ยกตัวอย่างเช่น แคลเซียมเพื่อเสริมสร้างกระดูก และฟันที่แข็งแรง และธาตุเหล็กเพื่อช่วยสมองให้มีสมาธิ และช่วยให้ร่างกายมีพลังงานมีชีวิตชีวา
เกลือแร่แบ่งได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ
เกลือแร่หลัก เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม คลอไรด์ โซเดียม กำมะถันและฟอสฟอรัส
เกลือแร่รองหรือเกลือแร่ที่ใช้น้อย เช่น ทองแดง โครเมียม ฟลูออไรด์ ซีลีเนียม และสังกะสี ซึ่งร่างกายต้องการใช้ในปริมาณน้อยมาก
เมื่อเรารู้แล้วว่าวิตามินและเกลือแร่ คืออะไรแล้วเรามาดูว่าวิตามินและเกลือแร่สัมพันธ์กันอย่างไร ทันทีที่เราบริโภควิตามินหรือเกลือแร่เข้าไปในรูปของอาหารหรือเครื่องดื่ม หรือผ่านทางผลิตภัณฑ์อาหารเสริมก็ตาม จะต้องถูกดูดซึมผ่านผนังทางเดินอาหาร เข้าไปสู่กระแสเลือดเพื่อจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในร่างกาย เมื่อวิตามินและเกลือแร่อยู่ร่วมกันก็อาจส่งผลดีต่อการดูดซึมของทั้งสองฝ่าย เช่น เมื่อกินวิตามินซีพร้อมกับอาหารประเภทผักซึ่งมีธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบ จะช่วยให้ธาตุเหล็กถูกดูดซึมได้ดีขึ้นเช่นเดียวกับการกินวิตามินดีพร้อมกับแคลเซียม ในอาหารมื้อเดียวกัน การกินวิตามินบีแต่ละตัวมีประสิทธิภาพขึ้น ขณะที่วิตามินเอ ซีและอี มีส่วนช่วยดูดซึมซีลีเนียมในทางเดินอาหาร
กุญแจสู่ภาวะโภชนาการที่ดี คือการสร้างสมดุล และไม่กินสารอาหารตัวใดตัวหนึ่งมากเกินไปซึ่งจะทำให้เกิดการเสียสมดุลของวิตามินตัวอื่นๆ
เหตุผลที่ต้องใช้ผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ
1. การกินป้องกันโรค ทุกวันนี้คนเราจะคิดถึงเรื่องสุขภาพในแง่การป้องกันมากกว่าการรักษาโรค และในบางครั้งการกินสารอาหารปริมาณที่สูงกว่าที่มีอยู่ในอาหารธรรมชาติอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค ในช่วงท้ายของชีวิตได้ สารอาหารต้านอนุมูลอิสระจำพวกวิตามินซีและอี ซีลีเนียม ได้รับความสนใจเป็นพิเศษในคุณสมบัติข้อนี้
2. การกินอาหารแนวพิเศษ เช่นผู้กินอาหารมังสวิรัติมีโอกาสน้อยมากที่จะได้รับวิตามินและเกลือแร่ ครบทุกชนิดและในปริมาณที่เพียงพอจากอาหารมังสวิรัติ การกินอาหารเสริมอาจเป็นแนวทางจำเป็น เพื่อสร้างสุขภาพที่ดีสำหรับคนกลุ่มนี้ ขณะยังยึดถือแนวปฏิบัติของตนไว้ได้
3. การรักษาโรค หลายคนกลับมาให้ความสำคัญกับสมุนไพรมากขึ้นในการรักษาอาการ ของโรคนอกเหนือจากการใช้ยาแผนปัจจุบันในการรักษาเพียงอย่างเดียว
4. หลักประกันแห่งการมีสุขภาพดี ในกลุ่มคนที่พยายามใช้ชีวิตให้อยู่ในแนวทางสุขภาพ และกินอาหารสมดุลครบห้าหมู่แต่เพื่อความมั่นใจว่าร่างกายจะได้รับวิตามิน และเกลือแร่ที่จำเป็นครบถ้วน ก็อาจใช้ผลิตภัณฑ์เสริมวิตามินและเกลือแร่ตามความเหมาะสม
5. วิถีชีวิตที่วุ่นวายและเคร่งเครียด กิจกรรมในแต่ละวันที่เพิ่มขึ้นในชีวิต คุณภาพอาหารอาจเป็นสิ่งหนึ่งที่เราละเลยไป เนื่องจากร่างกายจำเป็นต้องใช้สารอาหารเพิ่มพิเศษ อันเป็นผลจากความเครียดเช่นนี้แล้วผลิตภัณฑ์เสริมวิตามินและเกลือแร่ จะช่วยเติมส่วนที่ขาดหายไปเนื่องจากการกินอาหารคุณภาพต่ำ
6. ก้าวย่างของชีวิต ความต้องการสารอาหารมีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในแต่ละก้าว ย่างของชีวิต เช่น ในช่วงเวลาก่อนตั้งครรภ์ ระหว่างตั้งครรภ์ และระหว่างเลี้ยงดูลูกด้วยนมมารดา ร่างกายจะต้องใช้วิตามิน เกลือแร่และสารอาหารบางตัวเพิ่มเป็นพิเศษ อีกทั้งเมื่อเข้าสู่วัยชรา การดูดซึมสารอาหารลดลงไปตามกาลเวลาความอยากอาหารก็ลดลงด้วย ส่งผลให้ร่างกายได้รับสารอาหารน้อยลงจนอาจไม่เพียงพอกับความต้องการ
7. การสูบบุหรี่ จะดูดเอาวิตามินซีในร่างกายออกไปอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องได้รับวิตามินซีในอาหารสูงเป็นพิเศษจึงจำเป็นต้องได้กินวิตามินซีก่อนเลิกบุหรี่ รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระจำพวกซีลีเนียมและวิตามินอีอาจจะช่วยป้องกัน ไม่ให้ปอดถูกทำลายซึ่งช่วยได้ทั้งผู้ที่สูบบุหรี่และผู้ที่ได้รับควันบุหรี่จากผู้อื่น
ปัจจุบันนี้มีผลิตภัณฑ์เสริมในท้องตลาดมากมายที่ให้สรรพคุณในการเสริมสุขภาพ มีส่วนประกอบของวิตามินและเกลือแร่หลายชนิดในปริมาณที่แตกต่างกันออกไปดังนี้
Ingredient (สารประกอบ) | Centxxx | Z-Bxx | Banxxx Prxxxxx | Z-Centrex | ค่า Thai RDI* |
1. Isolate Soy Protein | - | - | 330.0 mg | 330.0 mg | |
2. Tomato Extract Powder(Lycopene) | - | - | - | 0.4958 mg | |
3. Lecithin | - | - | 85.0 mg | - | |
4. Magnesium | 100.0 mg | - | - | 150.0 mg | 350.0 mg |
5. Phosphorus | 125.0 mg | - | - | 119.3 mg | 800.0 mg |
6. Zinc | 15.0 mg | 22.5 mg | - | 15.0 mg | 15.0 mg |
7. Copper | 2.0 mg | - | - | 2.0 mg | 2.0 mg |
8. Ferrous | - | - | - | 4.0 mg | |
9. Manganese | 5.0 mg | - | - | 3.5 mg | 3.5 mg |
10. Selenium | 25.0 mcg | - | - | 0.07 mg | 0.07 mg |
11. Chromium | 25.0 mcg | - | - | 0.025 mg | 130.0 mcg |
12. Potassium | 40.0 mg | - | - | 0.046 mg | 3,500.0 mg |
13. Iodine | 0.15 mg | - | - | 0.15 mg | 0.15 mg |
14. Calcium | 175.0 mg | - | - | - | 800.0 mg |
15. Iron | - | - | - | - | 15.0 mg |
16. Chlorine | 36.0 mg | - | - | - | 3,400.0 mg |
17. Molybdenum | 25.0 mcg | - | - | - | 160.0 mcg |
18. Nickel | 5.0 mcg | - | - | - | |
19. Tin | 10.0 mcg | - | - | - | |
20. Vanadium | 10.0 mcg | - | - | - | |
21. Silicon | 10.0 mcg | - | - | - | |
22.Soybean oil | - | - | 410 mg | - | |
23. Vitamin A | 2000 IU | - | - | 2664 IU | 2664 IU |
24. Beta-Carotene | 3000 IU | - | - | - | |
25. Vitamin C | 90.0 mg | 600.0 mg | - | 60.0 mg | 60.0 mg |
26. Vitamin E | 30 IU | 45 IU | - | 15 IU | 15 IU |
27. Folic Acid | 0.4 mg | - | - | 0.2 mg | 200 mcg |
28. Vitamin B1 | 2.25 mg | 15.0 mg | - | 1.5 mg | 1.5 mg |
29. Vitamin B2 (Riboflavin) | 3.2 mg | 10.2 mg | - | 1.7 mg | 1.7 mg |
30. Vitamin B6 | 3.0 mg | 10.0 mg | - | 2.0 mg | 2.0 mg |
31. Vitamin B12 | 9.0 mcg | 6.0 mg | - | 0.002 mg | 0.002 mg |
32. Vitamin D | 400 IU | - | - | 200 IU | 200 IU |
33. Niacinamide (Vitamin B3) | 40.0 mg | - | - | 20.0 mg | 20.0 mg |
34. D-Biotine | 45.0 mcg | - | - | 0.150 mg | 0.150 mg |
35. Pantothenic Acid (Vita. B5) | 10.0 mg | 25.0 mg | - | 6.0 mg | 6.0 mg |
จากตารางที่แสดงปริมาณวิตามินและเกลือแร่ต่างๆของอาหารเสริมสุขภาพในจำนวน 4 ผลิตภัณฑ์นี้มี 2 ผลิตภัณฑ์ที่ขึ้นทะเบียนเป็นยารักษาโรคเพราะมีปริมาณวิตามินหรือเกลือแร่เกินปริมาณที่กำหนดไว้ใน RDI จึงจำเป็นที่จะต้องขึ้นทะเบียนเป็นยารักษาโรคเท่านั้น แต่ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมอีกหนึ่งตัว มีปริมาณวิตามินหรือเกลือแร่น้อยกว่าที่กำหนดไว้ใน RDI ในขณะที่ผลิตภัณฑ์วิตามินรวมมีปริมาณวิตามิน และเกลือแร่ส่วนใหญ่เท่ากับที่กำหนดไว้ใน RDI จึงทำให้รับประทานอาหารเสริมวิตามินรวม นี้ได้อย่างมั่นใจว่าได้รับปริมาณวิตามินและเกลือแร่ที่พอเหมาะพอดีในปริมาณที่ไม่มากหรือน้อยเกินไป ที่จะใช้เพื่อทดแทนวิตามินและเกลือแร่ที่ร่างกายต้องการและปลอดภัยต่อร่างกายเมื่อใช้ติดต่อกันไปในระยะเวลานาน
เมื่อกล่าวถึง RDI แล้วมาทำความรู้จักกับ RDI กัน RDI หรือ Reference Dietary Intakes คือปริมาณของสารอาหารที่แนะนำว่าควรได้รับ หรือไม่ควรได้รับเกินเท่าไหร่ในแต่ละวันซึ่งมาจากค่า RDA (Recommended Dietary Allowances), EAR (Estimated Average Requirement), AI(Adequate Intake)และUL(Safe/Tolerable Upper Level) รวมกันแต่ละตัวมีความหมายดังนี้ค่า RDA เป็นปริมาณขั้นต่ำสุดที่แนะนำให้คนทั่วไปกินในแต่ละวันเพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุข กินมากกว่านี้ก็ได้ ถ้าไม่มากเกินไปจริงๆก็ไม่เป็นไรสำหรับผู้ที่กินอาหารเสริม วิตามิน เกลือแร่ฯลฯ อยู่แล้วคิดจะใช้ RDA เป็นแนวทางว่ากินถึงหรือเกิน RDAหรือยัง ถ้าถึงหรือเกิน RDA แล้วจะได้หยุดกิน จึงเป็นการคิดที่ไม่ถูกต้อง เพราะถ้าทำเช่นนั้นอาจได้สารอาหารไม่ถึง RDA ทำให้ขาดสารอาหารนั้นได้ ถ้าเกรงว่าจะกินมากเกินไปต้องไปดูค่า UL แล้วกินอย่าให้เกินค่านี้
ค่า RDA ที่มีอยู่ใช้สำหรับบุคคลทั่วไปที่แข็งแรงดีและดำรงชีวิตตามปกติเท่านั้น ค่านี้ใช้ไม่ได้กับผู้ป่วย คนที่เป็นโรคขาดสารอาหาร หรือคนที่ดำรงชีวิตแตกต่างไปจากคนธรรมดามาก เช่นนักเพาะกายจัดว่าดำรงชีวิตที่แตกต่างไปจากธรรมดามาก ในแง่ของการใช้พลังงานและการใช้งานกล้ามเนื้อดังนั้นค่า RDA สำหรับคนทั่วไปบางค่าเช่นปริมาณพลังงานและโปรตีนที่ต้องการ ในแต่ละวันจึงใช้ไม่ได้กับนักเพาะกายเช่น RDA ของโปรตีนในผู้ชายทั่วไปเท่ากับ 0.6 ก/กก.เท่านั้น แต่ในนักเพาะกายแนะนำกันไว้ที่ 2-3 ก/กก./วัน
วิธีรับประทานเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด รับประทานวันละ 1-2 เม็ด ก่อนนอน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น