วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

มารู้จัก DHA ในการบำรุงสมองของเด็ก

" มารู้จัก DHA ในการบำรุงสมองของเด็ก และช่วยให้มี IQ และ EQ สูง อีกทั้ง DHAจะช่วยให้เด็กสมาธิสั้น (IDD: Intensive Deficit Disorder) และเด็กซุกซนผิดปกติ (IDHD: Intensive Deficit Hyperactivity Disorder) มีอาการดีขึ้นได้อย่างไร "

ผศ.พญ. กุสุมา ชูศิลป์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น อธิบายความหมายของ DHA (Docosahexaenoic acid) เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว ชนิดสายโซ่ยาว (Long-chain Polyunsaturated Fatty acid) โดย DHA เป็นกรดไขมันสายพันธุ์โอเมก้า 3 ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานของเซลล์สมอง และจอตา ช่วยในการเพิ่มพัฒนาการของสมองและสายตาของทารก และเด็ก

ทั้งนี้สมองของทารก และเด็กจะประกอบไปด้วยไขมัน ร้อยละ 20 และ ร้อยละ 60 ของกรดไขมันเป็น DHA โดย DHA กระจายอยู่ทั่วไปในเซลล์ประสาทของสมองและจอตา

ในระยะเริ่มต้น 4-6 เดือนแรก น้ำย่อยไขมันของทารกยังไม่เพียงพอในการสังเคราะห์กรดไขมันโอเมก้า 3 จึงไม่สามารถเปลี่ยนสารตั้งต้นให้เป็น DHA ได้เพียงพอ ดังนั้นทารกจึงต้องได้รับ DHA จากน้ำนมแม่ ขณะเดียวกันทารกต้องรับสารนี้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์จากอาหารที่แม่รับประทานเข้าไป ฉะนั้นในช่วงที่ตั้งครรภ์ แม่จึงจำเป็นต้องรับประทานอาหารที่มีโอเมก้า 3 ซึ่งโดยปกติแหล่งโอเมก้า 3 ตามธรรมชาติ จะได้จากการรับประทานปลาในปริมาณที่มากเพียงพอ

ผศ.พญ.กุสุมา กล่าวอธิบายเพิ่มเติมว่า สารอาหาร DHA ที่ได้จากน้ำนมแม่นั้น ธรรมชาติจะมีการปรับปริมาณให้เหมาะสม ในแต่ละช่วงวันเวลาอย่างเหมาะสมเพื่อให้เข้าไปปรับสมดุลย์ ระบบภายในร่างกายของลูกได้อย่างทันท่วงที ทำให้เซลล์สมอง และระบบการทำงานต่างๆ ของลูกมีการพัฒนาได้อย่างสมบูรณ์เต็มที่ และที่สำคัญน้ำนมแม่มี DHA แต่แม่ต้องได้รับ DHA เสริมในปริมาณที่เหมาะสมต่อวันด้วย

คำกล่าวที่ว่า " กินปลาเถิดพี่ จะดีที่สมอง กินปลาเถิดน้อง สมองจะดี " ซึ่งเป็นคำพูดประจำโดยคุณครูโรงเรียนอนุบาล เพื่อเชิญชวนเด็กเล็กๆ ให้นิยมรับประทานปลานั้น จริงหรือไม่ ซึ่งได้มีการนำประเด็นดังคำกล่าวไปทำการศึกษาวิจัยกันมาก โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นได้มีผลการวิจัยที่แสดงอย่างชัดเจนว่า สาร DHA ในน้ำมันปลามีส่วนสำคัญในการพัฒนาสมองโดยเฉพาะด้านความจำ และการเรียนรู้

จึงเป็นที่สรุปว่า คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ (Pregnancy), แม่ที่ให้นมบุตร (Lactation) และเด็กควรได้รับ DHA เสริมอย่างที่จะเลี่ยงไม่ได้ ในปริมาณที่เหมาะสม ดังนี้

แม่ที่ตั้งครรภ์ (Pregnancy), แม่ที่ให้นมบุตร (Lactation) ตามคำแนะนำของ ISSFAL (International Society for the Study of Fatty acids and Lipids) ประเทศสหรัฐอเมริกา ให้แม่ที่ตั้งครรภ์หรือแม่ที่กำลังให้นมบุตรอยู่ ควรได้รับ DHA เสริมวันละ 300 mg นอกจากนี้การได้รับ DHA อย่างเพียงพอเป็นประจำในเด็ก นอกจาก DHA จะส่งเสริมการพัฒนาสมองแล้วการได้รับ DHA เสริมอย่างสม่ำเสมอ ยังส่งผลให้เด็กมีภูมิต้านทานมากขึ้น ทำให้ลดการเกิดการเจ็บป่วย มีสุขภาพที่แข็งแรง ซึ่งลดปัญหาการขาดเรียนโรงเรียนได้อย่างเห็นผล

ผศ.ดร.อริศร์ เทียนประเสริฐ อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าวถึงผลงานวิจัย " ประโยชน์ของการรับประทาน DHA เสริมว่า DHA พบมากในปลาทะเล และจากผลงานวิจัยในต่างประเทศจำนวนมาก ที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของ DHA ในการเพิ่มพัฒนาการทางสมอง โดยการเสริม DHA ลงในนม และให้เด็กดื่มตลอดภาคการศึกษา พบว่า DHA ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ทำให้เด็กลดระยะเวลาในการป่วย และขาดเรียนอย่างเห็นได้ชัด "

ทั้งนี้ จากงานวิจัยดังกล่าว ผลการวิจัยแสดงว่า เมื่อมีการเสริม DHA ในเด็กชั้นประถมศึกษาในปริมาณ 100 mg ทุกวันตลอดภาคการศึกษา เด็กจะมีระยะเวลาในการป่วย และขาดเรียนลดลง 10% และในกลุ่มที่ได้รับ DHA เพิ่มขึ้นในประมาณ 1,000 mg จะมีระยะเวลาการขาดเรียนลดลง 30% เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับ DHA เสริม

ในการประชุมโภชนาการเด็กแห่งเอเซีย ณ กรุงปักกิ่ง ได้มีการเปิดเผยผลงานวิจัย ซึ่งสนับสนุนผลงานวิจัยที่ผ่านมาว่า " เด็กต้องได้รับการบริโภคกรดไขมันไม่อิ่มตัว DHA ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ถึงวัยทารก และปฐมวัย โดย DHA ซึ่งเป็นไขมันที่เป็นโครงสร้างที่สำคัญในสมอง และประสาทจอตา ซึ่งจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโต และการสร้างภูมิคุ้มกันในเด็ก " ดร.เพิร์ทโฮลด์ โคเลตซีโก จากโรงพยาบาลเด็ก และ ดร.วอน ฮาวเนอร์ จากมหาวิทยาลัยมิวนิค ได้นำเสนอผลการวิจัยใหม่ในหัวข้อโภชนาการไขมัน ในปริมาณที่เพียงพอ ในช่วงอายุ 5 เดือนก่อนคลอด ถึง 1 เดือนหลังคลอด ผลการวิจัยแสดงว่า สตรีมีครรภ์ หรือสตรีที่ให้นมบุตร ควรบริโภคกรดไขมัน DHA ในปริมาณอย่างน้อย 200 mg อีกทั้งคณะผู้เชี่ยวชาญ พบว่า สตรีที่บริโภคกรดไขมัน DHA ในปริมาณที่มากกว่าจะมีสุขภาพครรภ์ที่ดีกว่าสตรีมีครรภ์ ที่ไม่ได้รับการบริโภคกรดไขมัน DHA เสริม อีกทั้งมีผลในการช่วยเพิ่มน้ำหนักเด็กที่คลอด และลดอัตราการคลอดก่อนกำหนด นอกจากนี้ ยังมีส่วนช่วยในการพัฒนาการของเด็กในหลายด้าน เช่น การพัฒนาการของสมองและสายตา เป็นต้น

ขณะเดียวกัน ดร.อเล็กซานเดอร์ ลาพิลลอนเน มหาวิทยาลัยปารีส เอส์การัตส์ นำเสนอผลงานวิจัย ความสัมพันธ์ระหว่าง การมองเห็นของทารกกับการบริโภคกรดไขมัน DHA พบว่า DHA มีความสัมพันธ์ทำให้พัฒนาการมองเห็น และสมองดีขึ้นอย่างชัดเจน

ดร.อลันไรอัน จากมาร์เก็ต ไบโอไซน์ส (Market Bioscience) นำเสนอผลของการบริโภค DHA ในเด็กอายุ 4 ขวบ ที่มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ดี ผลการวิจัย พบว่า หากมีระดับปริมาณ DHA ในเลือดในปริมาณมากจะส่งผลให้เด็กสามารถ ทำแบบทดสอบด้านความรับรู้ได้ดีเพิ่มมากขึ้นตามปริมาณ DHA ในเลือด ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ในเด็กจำเป็นที่ต้องได้รับการบริโภค DHA เสริม

ISSFAL สำนักงาน USA และ University of Maryland USA กล่าวว่า เด็กที่มีปัญหาสมาธิสั้น (IDD: Intensive Deficit Disorder) และเด็กสมาธิสั้นและมีอาการซุกซนผิดปกติ (IDHD: Intensive Deficit Hyperactivity Disorder) เหล่านี้ มีสาเหตุหลักอย่างหนึ่งมาจากการที่สมองขาด DHA ซึ่งแนวทางในการรักษาคือ การให้ DHA เสริมในปริมาณที่สูง (High dose) หมายความว่า ควรได้รับ DHA เสริมในปริมาณวันละ 300-600 mg ซึ่งผลการทดสอบพบว่า เด็กในกลุ่มอาการเหล่านี้ มีอาการลดลงอย่างเห็นได้อย่างชัดเจน และมีสมาธิมากขึ้น

อีกทั้งผลงานวิจัยที่แสดงถึงการรับประทาน DHA เสริม แล้วเด็กจะมีพัฒนาการทางสมอง หรือ IQ ที่สูงขึ้น เช่น ผลงานวิจัยที่จัดทำโดย University of Maryland USA ผลการทดลองสรุปได้ว่า DHA (Docosahexaenoic acid) เป็นกรดไขมันชนิดหนึ่งที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ แต่เป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายต้องการ ซึ่งแหล่งที่มาจะได้จากทางอาหารที่รับประทานได้อย่างเดียว โดยแหล่งที่พบมากจะพบในปลาทะเลน้ำลึก ซึ่งเป็นแหล่งที่สามารถสกัด DHA หรือที่เรียกว่า Omega 3 (สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมจากรูปข้างล่าง) ซึ่งจะเป็นสารตั้งต้น (Precursor) ในการสร้างเนื้อเยื่อสมอง และจอตา ดังนั้นสตรีมีครรภ์ควรได้รับ DHA เสริมในปริมาณที่เพียงพออย่างสม่ำเสมอ หากมีปริมาณ DHA อยู่ในน้ำนมที่ได้รับจากการรับประทานปลาหรือจากธรรมชาติไม่เพียงพอ ซึ่งจะมีส่วนในการส่งผลไปถึงเด็กในครรภ์



คำถามที่พบบ่อยที่สุด

1. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร DHA จะระบุว่า " เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทาน " จะให้เด็ก หรือสตรีมีครรภ์รับประทานได้หรือเปล่า ???

ความเป็นจริงแล้ว เด็กและสตรีมีครรภ์สามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัย การที่มีคำเตือนนั้นเป็นเพียงคำเตือนมาตรฐานของการขึ้นทะเบียนผลิตเสริมอาหารเท่านั้น กล่าวคือ ถ้าเราขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม จะต้องมีการติดหรือระบุคำเตือนนี้ ไว้เป็นมาตรฐาน เช่น ผลิตภัณฑ์ Calcium / Vitamin D ถ้ามีการขึ้นทะเบียนยา จะต้องระบุคำเตือนที่ว่า " ยาอาจสะสมในร่างกาย ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ " แต่ถ้าขึ้นทะเบียนเป็นอาหารเสริม จะต้องมีการระบุคำเตือนที่ว่า " เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทาน " ทั้งที่เป็นผลิตภัณฑ์ชนิดเดียวกัน ซึ่งอาจสังเกตจากการที่แพทย์ให้สตรีมีครรภ์ รับประทานแคลเซียมเสริมตั้งแต่ทราบว่าตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอด

การที่เราจะพิจารณาว่า คำเตือนที่ว่า " เด็กและสตรีมีครรภ์ " ใช้กับสตรีมีครรภ์ได้หรือไม่ อาจจะมีการพิจารณาจากส่วนประกอบ ของผลิตภัณฑ์ ดังนี้ จากปริมาณ DHA 150 mg นั้น เท่ากับการรับประทานปลาวันละ ประมาณ 1 kg (7.8 gm) ซึ่งไม่เคยปรากฏว่าการรับประทานปลาในปริมาณมาก เป็นพิเศษจะให้โทษต่อร่างกาย ยกเว้นในกรณีของผู้ที่มีอาการแพ้ปลาทะเล ในทางตรงกันข้ามในความเป็นจริงเราไม่สามารถที่จะรับประทานปลา ในปริมาณมากในแต่ละวัน จึงสามารถสรุปได้ว่า การรับประทาน DHA 150 mg นั้น หรือการรับประทานปลาวันละ ประมาณ 7.8 gm เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ซึ่งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มาจาก สารสกัดจากธรรมชาตินั้นสามารถรับประทานได้ตลอดไป

การพิจารณาปริมาณวิตามินต่างๆ ที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ว่า เด็กสามารถรับประทานอย่างต่อเนื่องได้ไหม ฉะนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องมาเรียนรู้ถึงความจำเป็นของร่างกายในการที่จะได้รับวิตามินต่างๆ ในปริมาณที่เหมาะสม เราจึงต้องเรียนรู้ ค่า RDI (Recommended Dietary Intake) หรือ ค่าปริมาณวิตามินที่ร่างกายควรได้รับต่อวันจำแนกตามอายุดังกล่าวตามตารางดังนี้ (RDI เป็นค่ามาตรฐานที่ถูกกำหนดโดย FDA ทุกประเทศ)

ตารางที่ 1 เปรียบเทียบปริมาณ Vitamin ต่างๆ ในผลิตภัณฑ์ DHA ที่อยู่ในรูปแบบของ Lactapreg ® (Lactation และ pregnancy) สำหรับเด็กอายุ 6 ขวบ ขึ้นไป









Active ingredient
Vitamin
ค่า Thai RDI
*อายุ 6 ปีขึ้นไป









Fish oil
300 mg
(Provide DHA 150 mg)

DHA











Vitamin A
acetate 1.5 M IU/g

0.88 mg
(equal to 1320 IU)

Vit.A
800 mcg
(2,664) IU











Cholecalciferol
1 M IU/g

0.1 mg
(equal to 100 IU)

Vit. D
5 mcg
(200) IU











Ascorbic acid
30 mg
Vit. C
60 mg










Thiamine nitrate
0.75 mg
Vit. B1
1.5 mg










Riboflavin
0.85 mg
Vit. B2
1.7 mg










Niacinamide
10 mg
Vit. B3
20 mg










Pyridoxine HCL
1 mg
Vit. B6
2 mg










Folic acid
0.1 mg

200 mcg










Panthothenic acid
92%

3.26 mg
(equal to 2.99 mg)

Vit. B5
6 mg










Cyanocobalamin
0.1%

1 mg
(equal to 1 mcg)

Vit. B12
2 mcg










Ferrous fumarate
32.8%

23 mg
(equal to 7.54 mg)

Iron
15 mg










Sodium Iodide
32.8%

75 mcg
Iodine
150 mcg










Zinc sulphate
monohydrate 36.44%

20.6 mg
(equal to 7.5 mg)

Zinc
15 mg










Copper sulphate
25%

4 mg
(equal to 1 mg)

Copper
2 mg










Fluoride 45%
(Na Fluoride)

1 mg
Fluoride
2 mg











จึงสรุปได้ว่า ผลิตภัณฑ์ DHA ในรูปแบบ Lactapreg ® สามารถรับประทานได้ตั้งแต่เด็กอายุ 6 ขวบขึ้นไป จนถึงแม่ที่ตั้งครรภ์ (Pregnancy) หรือแม่ที่ให้นมบุตร

ตารางที่ 2 เปรียบเทียบปริมาณ Vitamin ต่างๆ ในผลิตภัณฑ์ DHA ที่อยู่ในรูปแบบของ minicapsule สำหรับเด็กอายุ 1-3 ขวบ










Active ingredient
Vitamin
ค่า Thai RDI
อายุ 1-3 ปี









Fish oil
150 mg
(Provide DHA 0.75 mg)

DHA











Vitamin A
acetate 1.5 M IU/g

666 IU
(equal to 1320 IU)

Vit.A
1,332 IU










Cholecalciferol
1 M IU/g

0.1 mg
(equal to 100 IU)

Vit. D
200 IU










Ascorbic acid
20 mg
Vit. C
40 mg










Thiamine nitrate
0.25 mg
Vit. B1
0.5 mg










Riboflavin
0.25 mg
Vit. B2
0.5 mg










Niacinamide
3 mg
Vit. B3
6 mg










Pyridoxine HCL
0.25 mg
Vit. B6
0.5 mg










Folic acid
75 mcg

2 mg










Panthothenic acid
92%

1 mg
Vit. B5
2 mg










Cyanocobalamin
0.1%

0.45 mg
(equal to 1 mcg)

Vit. B12
0.9 mcg











เช่นเดียวกับ DHA ในรูปแบบ minicapsule สามารถรับประทานได้ ตั้งแต่เด็กอายุ 1 ขวบขึ้นไป จนถึง อายุ 6 ขวบ ในขนาดรับประทานวันละ 1-2 แคปซูล ก่อนนอน (ขนาดรับประทานนี้ เด็กอายุ 1-3 ขวบ จะได้รับวิตามินต่างๆ เพียงครึ่งเดียว หรือพอดีกับที่ร่างกายต้องการต่อวัน และจำเป็นที่จะต้องได้รับวิตามินเหล่านี้เพิ่มเติมจากอาหาร โดยการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่

จากตารางข้างบนจะเห็นได้ว่า DHA ในรูปแบบ Lactation Pregnancy และ Adult (อายุ 6 ขวบขึ้นไป) จะมีส่วนประกอบไปด้วยวิตามินต่างๆ เพียงครึ่งหนึ่งของปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน (ค่า RDI) หากรับประทานวันละ 2 เม็ด ก็จะได้รับ DHA ถึง 300 mg และจะได้รับวิตามินต่างๆ ในปริมาณที่เท่ากับร่างกายต้องการต่อวัน (ตารางประกอบ)

และผลิตภัณฑ์ DHA ในรูปแบบ minicapsule สำหรับเด็กเล็กที่สามารถรับประทานยาเม็ดแคปซูลได้ ก็จะมีส่วนประกอบของ DHA 150 mg ต่อเม็ดเช่นกัน แต่ปริมาณวิตามินต่างๆ ต่อเม็ดมีเพียงครึ่งหนึ่งของค่าปริมาณความต้องการวิตามินที่ร่างการต้องการต่อวัน (RDI) สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบ (ดูตารางประกอบ)

จึงสรุปได้ว่าผลิตภัณฑ์ DHA ในรูปแบบ Lactagreg ® และในรูปแบบ minicapsule สามารถรับประทานได้ตลอดชีวิตแทนอาหารได้อย่างปลอดภัย แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ปริมาณวิตามินต่างๆ ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ซึ่งยังต้องได้รับเพิ่มจากสารอาหารทั่วไปอีกโดยการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ปริมาณวิตามินต่างๆ ที่มีอยู่เป็นเพียงความต้องการใช้บนพื้นฐาน เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดวิตามินต่างๆ จากการที่เราไม่สามารถรับประทานอาหารได้ครบ 5 หมู่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น